วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551

เจอร์ราร์ดเชื่อหงส์แดงครองอันดับ4ได้แน่นอน


สตีเว่น เจอร์ราร์ด มิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ ของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล มั่นใจชัยชนะเหนือ "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน 1-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จะเป็นใบเบิกทางทำให้พวกเขายึดอันดับ 4 และโควต้าไปลุยศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นหน้าอย่างแน่นอน
สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม ของ ลิเวอร์พูล ยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่าชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน 1-0 ในศึก "เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์" ที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคมที่ผ่าน จะทำให้ "หงส์แดง" จบฤดูกาลด้วยอันดับ 4 และได้สิทธิ์ไปลุย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นหน้า
เกมนี้ ลิเวอร์พูล ได้ประตูชัยจากฝีเท้าของ เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกเลือดกระทิง ตั้งแต่ต้นเกม ทำให้ตอนนี้เขาซัดไปแล้ว 21 ประตูจากการเล่นในลีก และทำให้ทีมรั้งอันดับ 4 โดยมีคะแนนนำคู่ปรับร่วมเมืองที่อยู่ในอันดับ 5 เพิ่มเป็น 5 คะแนน ขณะที่เหลือการแข่งขันอีกแค่ 6 นัดเท่านั้น
มิดฟิลด์จอมยิงไกล ยอมรับว่าชัยชนะในเกมดาร์บี้แมตช์แห่งลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ครั้งที่ 207 นี้ จะทำให้พวกเขาจบซีซั่นด้วยอันดับ 4 "มันเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่มาก และเรารู้ว่าเกมนี้มันสำคัญสำหรับเราจริงๆ ตอนนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถคว้าชัยชนะได้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจบฤดูกาล และคว้าอันดับ 4 มาครอง อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยกย่อง เอฟเวอร์ตัน ด้วย เพราะพวกเขากลับมาโชว์ฟอร์มที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลัง การที่เราไม่สามารถยิงประตูที่สองได้ มันทำให้เราต้องพบกับงานหนักมาก"
"แต่เมื่อเราเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง คุณก็ย่อมต้องมีความสุขตราบใดที่คุณยังคงคว้าชัยชนะต่อไป เกมนี้มันมีการคุยทับกันด้วย และผมก็เชื่อมั่นว่าแฟนบอลของเราคงจะพอใจกับผลงานในครั้งนี้ เรายังคงมีเกมที่ยากลำบากอีกหลายนัด ดังนั้น มันเป็นสิ่งที่สำคัญจริงๆ ที่ได้รับผลการแข่งขันที่ต้องการในวันนี้"

ตอร์เรสรับสุดมหัศจรรย์!!เมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้แมตช์


เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกเลือดกระทิง ของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เผยสุดประทับใจกับบรรยากาศเกมดาร์บี้แมตช์ ที่ "หงส์แดง" เปิดบ้านเฉือน เอฟเวอร์ตัน 1-0 วันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมเชื่อด้วยว่า ชัยชนะเหนือทีมคู่อริร่วมเมือง ช่วยเรียกความเชื่อมั่นของทีมกลับมาอีกครั้ง หลังเกมแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-3 เมื่อสัปดาห์ก่อน
เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าฟอร์มฮอต ของ ลิเวอร์พูล ทีมยักษ์ใหญ่ในศึก พรีเมียร์ลีก ยอมรับเกม "เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์" กับ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเขาลงเล่นเป็นครั้งแรก ให้ความรู้สึกสุดมหัศจรรย์ ที่สำคัญเขายังสวมบทฮีโร่ ยิงประตูโทนช่วยทีมเชือดคู่อริร่วมเมือง 1-0 ที่แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา
กองหน้าทีมชาติสเปน จัดการยิงประตูโทนในเกมดาร์บี้แมตช์แห่งลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ ครั้งที่ 207 ตั้งแต่นาทีที่ 7 และจากชัยชนะของ "หงส์แดง" ในครั้งนี้ ทำให้พวกเขารักษาอันดับ 4 เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ทิ้งห่าง "ทอฟฟี่สีน้ำเงิน" เพิ่มเป็น 5 คะแนน ซึ่งเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะได้โควต้าลุยศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบคัดเลือก ในซีซั่นหน้า
หัวหอกฉายา "เอล นินโญ่" ซึ่งไม่ได้ลงเล่นเกมดาร์บี้แมตช์นัดแรกที่ "เดอะ เร้ดส์" บุกไปชนะ 2-1 ที่ กูดิสัน พาร์ค เนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บ กล่าวว่า "เกมดาร์บี้แมตช์มันมหัศจรรย์จริงๆ มันจะมีความเป็นความแตกต่างระหว่างแฟนบอลทั้ง 2 ทีม มันเป็นสัปดาห์ที่สำคัญ และคุณรู้สึกได้เลยว่านี่คือเกมที่พิเศษ การคว้าชัยชนะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และทำให้ เอฟเวอร์ตัน ตามหลังเรามากยิ่งขึ้นอีก"
ขณะเดียวกัน อดีตดาวเตะแอตเลติโก มาดริด ที่ตอนนี้ยิงไปแล้ว 21 ประตูในลีก เชื่อมั่นว่า ชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน จะช่วยชดเชยความผิดหวังในเกมออกไปแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-3 เมื่อสัปดาห์ก่อน "เมื่อคุณได้ผลการแข่งขันที่เลวร้าย คุณก็ย่อมต้องการผลการแข่งขันที่ดีในเกมนัดสำคัญ และตอนนี้เรากลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้งแล้ว"

ราฟายอตอร์เรสดลบันดาลชัยให้หงส์อีกแล้ว


ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เชิดชู เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าชาวสแปนิช ยกใหญ่ ภายหลังเจ้าตัวยิงประตูชัยช่วยให้ "หงส์แดง" เชือดหวิว เอฟเวอร์ตัน 1-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พร้อมชมการที่ "เอล นินโญ่" ยิงประตูได้อย่างถล่มทลายตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ค้าแข้งในเมืองผู้ดีนั้น ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา และสำหรับทีม
ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือ ลิเวอร์พูล ยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมากล่าวสรรเสริญผลงานถล่มประตูของ เฟร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงทีมชาติสเปน ที่เพิ่งยิงประตูในเกมลีกลูกที่ 21 ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ที่เชือด เอฟเวอร์ตัน หวุดหวิด 1-0 ที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าเขามีความเชื่อมั่นในตัว ตอร์เรส อย่างมาก และก็รู้สึกยินดีที่เจ้าตัวยิงประตูได้ในเกมวันนี้
เบนิเตซ กล่าวว่า "เราพูดไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เรามีความมั่นใจอย่างมากในตัว เฟร์นานโด และเรายินดีที่เขายิงประตูได้ในวันนี้ สำหรับเขาการยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำตั้งแต่ฤดูกาลแรกนั้นถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา และสำหรับเรา เพราะฉะนั้นเราถึงได้มีความสุขมากๆ ไปกับตัวเขา ส่วนในเรื่องความเข้าอกเข้าใจระหว่าง ตอร์เรส และ (สตีเว่น) เจอร์ราร์ด ก็ถือว่าดีเอามากๆ"
"ในช่วงครึ่งแรกเรามีโอกาสตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถยิงประตูลูกที่ 2 ได้ และในช่วงครึ่งหลังเราเน้นเล่นเกมโต้กลับมากขึ้น ในตอนที่เราขึ้นนำเพียงลูกเดียว คู่แข่งอาจจะได้ประตูตีเสมอจากการเล่นลูกเตะมุม หรือว่าลูกฟรีคิกอยู่เสมอๆ ดังนั้นเราต้องรักษาสมาธิของตัวเราเองให้อยู่ในระดับที่สูงต่อไป ชัยชนะเป็นเรื่องที่สำคัญ และเราอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ แต่เรามีเกมที่ยากรออยู่ นั่นคือพบกับ อาร์เซน่อล, ท็อตแน่ม (ฮ็อทสเปอร์) และ แบล็คเบิร์น (โรเวอร์ส)" "เอล บอส" กล่าวตบท้าย

ลิเวอร์พูล 1 - เอฟเวอตัน 0







หงส์แดงเชือดทอฟฟี่1-0 ตอร์เรสกระหน่ำประตูชัย



ลิเวอร์พูล 1 - เอฟเวอร์ตัน 0
ศึกดาร์บี้ แมตช์ที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลซึ่งเพิ่งเสียฟอร์มแพ้มาในเกมแดงเดือดไม่มีฮาเวียร์ มาสเคราโน่ที่ติดโทษแบน แต่เฟร์นานโด ตอร์เรสฟิตเปรี๊ยะ แถมสตีฟ ฟินแน่นก็หายเดี้ยงมีชื่อกลับมาเป็นตัวสำรองด้วย
ส่วนเอฟเวอร์ตันซึ่งเริ่มออกลูกแผ่วปราศจากทั้งทิม เคฮิลล์และแอนดรูว์ จอห์นสันซึ่งบาดเจ็บ ยังดีที่สตีเว่น พีนาร์หายป่วยทันเวลา แม้วิคเตอร์ อนิเชเบ้จะไม่สมบูรณ์ก็ตาม
เปิดฉากมาได้เพียง 7 นาที เจ้าบ้านก็ได้ลูกเตะมุมด้านซ้าย สตีเว่น เจอร์ราร์ดจึงโยนโด่งเข้าไปถูกโจลีออน เลสค็อตต์โหม่งทิ้งออกมาแล้วไอเย็กเบนี่ ยาคูบูเก็บบอลได้ แต่กลับทำโชว์เหนือเล่นอันตรายพยายามพลิกบอลวนหนีชาบี้ อลอนโซ่ แล้วถูกแย่งได้ เดิร์ก เคาท์จึงจิ้มบอลเข้าเขตโทษด้านขวาให้ตอร์เรสปรี่เข้าซัดผ่านทิม ฮาวเวิร์ดง่ายดายเป็นสกอร์นำ 1-0 ของหงส์แดง
เกมตกเป็นของลิเวอร์พูลทันที และนาทีต่อมาลี คาร์สลีย์ก็เสียบตอร์เรสคะมำหน้าเขตโทษตัวเองจึงได้ใบเหลือง แต่สตีวี่ จีเข่นลูกฟรีคิกระยะ 27 หลาไม่เด็ดขาดพอ บอลจึงกลิ้งหลุดออกเส้นหลัง
เครื่องจักรสีแดงกางตำราไล่ขยี้เอฟเวอร์ตันอย่างเมามัน และถึงนาทีที่ 16 ตอร์เรสก็ป้ายบอลจากด้านขวาให้เคาท์กระทุ้งในเขตโทษติดบล็อคกองหลังทีมเยือนก่อนจะได้ซ้ำเองอีกจังหวะทว่าฮาวเวิร์ดกระโจนไปปัดได้สำเร็จ
ถัดมาอีกสองนาทีฟิล เนวิลล์กัปตันท๊อฟฟี่ก็โดนจดชื่ออีกรายข้อหารวบลูคัส เลว่าจากด้านหลัง และแม้จะได้ครองเกมอยู่ข้างเดียวแต่กว่าที่เจ้าบ้านจะมีเสียวอย่างจะแจ้งอีกหนก็ต้องรอจนกระทั่งนาทีที่ 40 เมื่อโฆเซ่ เรน่าเตะเปิดเกมยาวขึ้นมาแล้วบอลทะลักมาให้จอร์ราร์ดสับไกจากหน้าเขตโทษอย่างถนัดถนี่เฉี่ยวกรอบออกไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น
ผ่านมาถึงนาทีที่ 45 ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ก็เติมขึ้นมากระทุ้งจากมุมเขตโทษด้านซ้ายตามถนัด แต่กระทบกองหลังท๊อฟฟี่โด่งข้ามคาน จบครึ่งแรกจึงเป็นอันว่าลิเวอร์พูลนำหน้าไปก่อน 1-0
เริ่มครึ่งหลังมา เอฟเวอร์ตัน ทำการบุกเข้าใส่ทันที นาทีที่ 59 มิเกล อาร์เตต้า เปิดฟรีคิกมาให้ ลีออน ออสแมน โหม่งที่เสาแรก แต่บอลหลุดกรอบไปนิดเดียว
นาทีที่ 67 เจ้าบ้านได้ลุ้นบ้าง เมื่อสตีเว่น เจอร์ราด จ่ายบอลเร็วให้กับ ลูคัส เลว่า หลุดเข้าไปวอลเลย์เต็มข้อ แต่จังหวะสุดท้ายโดน โจเซฟ โยโบ บล็อคออกหลังไปได้ทัน
นาทีที่ 88 เคาท์ ได้โอกาสได้ยิงจากหน้ากรอบเขตโทษด้านซ้าย บอลโค้งผ่านมือ ฮาวเวิร์ด ไปแล้ว แต่บอลพุ่งหลุดเสาสองออกไปนิดเดียวเท่านั้น
จากนั้นอีก 2 นาที เจอร์ราร์ด ได้ตั้งป้อมซัดเหน่งๆแบบไม่มีใครประกบ หน้ากรอบเขตโทษ บอลพุ่งอย่างกับจรวด เดือดร้อนถึง ฮาวเวิร์ด ต้องเหินตัวปัดออกหลังไปอีกครั้ง
เวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ ทำให้หมดเวลาการแข่งขัน ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ไปได้อย่างหวุดหวิด 1-0
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ลิเวอร์พูล : โฆเซ่ มานูเอล เรน่า, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, ซามี่ ฮูเปีย, ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่, ชาบี อลอนโซ่, ลูคัส เลว่า, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ไรอัน บาเบิล, เดิร์ค เค้าท์, เฟร์นานโด ตอร์เรส
สำรอง : ชาร์ลส์ อิต็องด์เช่, สตีฟ ฟินแนน, เจอร์เมน เพนแนนท์, ยอสซี่ เบนายูน, ปีเตอร์ เคร้าช์
เอฟเวอร์ตัน : ทิม ฮาวเวิร์ด, โทนี่ ฮิบเบิร์ต, โจเซฟ โยโบ, ฟิล จาเกียลก้า, โจลีออน เลสค็อตต์, มิเกล อาร์เตต้า, ลี คาร์สลี่ย์, ฟิล เนวิลล์, ลีออน ออสแมน, สตีเฟ่น พีนาร์, ยาคูบู อเย็กเบนี่
สำรอง : สเตฟาน เวสเซลส์, เลห์ตัน เบนส์, โธมัส กราเวอเซ่น, นูโน่ วาเลนเต้, มานูเอล แฟร์นันเดส
ผู้ตัดสิน : ฮาวเวิร์ด เว็บบ์

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2551

ราฟาเชื่อตอร์เรสยิงเกิน30ตุงแน่


ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือ ลิเวอร์พูล มั่นใจสุดๆ "เอล นินโญ่" เฟร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงของทีม จะถล่มประตูได้ถึง 30 ลูกในฤดูกาลนี้ ชี้กองหลังคู่ต่อสู้ทุกคนอกสั่นขวัญหายทุกครั้งที่เผชิญหน้าดาวเตะสแปนิช
ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกโรงยกย่อง เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกดีกรีทีมชาติสเปนว่า เป็นกองหน้าที่ครบเครื่องอย่างแท้จริง โดยมั่นใจว่า เจ้าตัวจะทำได้เกิน 30 ประตูอย่างแน่นอนในฤดูกาลนี้
ดาวยิงเจ้าของฉายา "เอล นินโญ่" ย้ายจาก แอตเลติโก มาดริด ทีมดังแห่งลีกแดนกระทิงดุ มาร่วมทัพ "หงส์แดง" เมื่อช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,300 ล้านบาท) และเพียงซีซั่นแรกเจ้าตัวก็กลายเป็นขวัญใจของ "เดอะ ค็อป" หลังทำไปแล้ว 27 ประตู จาก 37 นัด
กุนซือชาวสเปนวัย 47 ปี กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ของสโมสร (liverpoolfc.tv) ว่า "ตอร์เรส เป็นนักเตะที่มีคุณภาพคับแก้วและมีความมั่นใจสูงมาก มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณต้องมีดาวยิงสูงสุดของทีมลงสนามเสมอ เขาเขย่าขวัญกองหลังทุกคน เขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและยิงประตูได้ต่อเนื่อง ถ้าทีมสามารถช่วยเขาได้มากพอผมก็คิดว่าเขาจะยิงได้อย่างน้อย 30 ประตูในซีซั่นนี้"

ปรีวิว ลิเวอร์พูล-เอฟเวอร์ตัน




ลิเวอร์พูล(4) - เอฟเวอร์ตัน(5)
เวลาเตะ :22.00 น.
ผู้ตัดสิน : ฮาวเวิร์ด เว็บบ์
สนาม:แอนฟิลด์
สภาพทีมโดยทั่วไป
ลิเวอร์พูล
ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือลิเวอร์พูล มีข่าวดีเมื่อเฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าตัวเก่งที่มีอาการเจ็บหลัง และ ข้อเท้ารบกวนเล็กน้อยจะฟิตพร้อมลงช่วยทีมได้อย่างไม่มีปัญหา แต่จะไม่มีฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ที่ติดโทษแบน 1 นัด หลังโดนไล่ออกในเกม "แดงเดือด" ที่บุกไปแพ้แมนฯ ยูไนเต็ด 0-3
ส่วนสตีฟ ฟินแนน กองหลังที่เจ็บโคนขาหนีบ ล่าสุดอาการดีขึ้นและเตรียมกลับมาช่วยทีมอีกครั้งในเร็วๆนี้ แต่ในรายของดาเนียล อั๊กเกอร์ ต้องพักยาว หลังเข้ารับการผ่าตัดกระดูกเท้าเป็นครั้งที่ 3
ผู้เล่นที่มีอาการบาดเจ็บ
ลิเวอร์พูล : ดาเนียล อั๊กเกอร์ (กระดูกเท้า)
ผู้เล่นที่ติดโทษแบน
ลิเวอร์พูล : ฮาเวียร์ มาสเคราโน่
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : โฆเซ่ มานูเอล เรน่า - อัลบาโร่ อาร์เบลัว, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เตล, ฟาบิโอ ออเรลิโอ - ลูกัส เลว่า, ชาเบียร์ อลอนโซ่ - เดิร์ค เค้าท์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ไรอัน บาเบล - เฟร์นานโด ตอร์เรส
ผู้จัดการทีม : ราฟาเอล เบนิเตซ
เอฟเวอร์ตัน
เดวิด มอยส์ กุนซือเอฟเวอร์ตัน จะชวดใช้งานทิม เคฮิลล์ กองกลางตัวเก่งที่เจ็บกระดูกเท้าและหมดสิทธิ์ช่วยทีมในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้ แต่ก็จะได้แอนดี้ จอห์นสัน กองหน้าคนสำคัญหายเจ็บโคนขาหนีบกลับมา ส่วนเจมส์ วอห์น และ เอียน เทอร์เนอร์ ที่เจ็บหัวเข่า และ สะโพกอยู่ก่อนแล้วยังชวดเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามสำหรับแกนหลักรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นทิม ฮาวเวิร์ด, โจเซฟ โยโบ, ฟิล เจกีลก้า, มิเกล อาร์เตต้า, ฟิล เนวิลล์, สตีเว่น ปีนาร์, ยาคูบู ไอเย็กเบนี่ และ แอนดี้ จอห์นสัน ยังพร้อมช่วยทีมทั้งหมด
ผู้เล่นที่มีอาการบาดเจ็บ
เอฟเวอร์ตัน : ทิม เคฮิลล์ (กระดูกเท้า), เจมส์ วอห์น (เข่า), เอียน เทอร์เนอร์ (สะโพก)
ผู้เล่นที่ติดโทษแบน
เอฟเวอร์ตัน : ไม่มี
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
เอฟเวอร์ตัน (4-4-1-1) : ทิม ฮาวเวิร์ด - ฟิล เนวิลล์, โจเซฟ โยโบ, ฟิล เจกีลก้า, โจลีออน เลสค็อตต์ - มิเกล อาร์เตต้า, ลี คาร์สลี่ย์, มานูเอล แฟร์นานเดว, สตีเว่น ปีนาร์ - ลีออน ออสแมน - ยาคูบู ไอเย็กเบนี่
ผู้จัดการทีม : เดวิด มอยส์
เฮด ทู เฮด
พบกันทั้งหมดในลีก ลิเวอร์พูล ชนะ 66 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 56 เสมอ 55
พบกันทั้งหมดในพรีเมียร์ ลิเวอร์พูล ชนะ 12 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 8 เสมอ 11
พบกันทั้งหมดในลีกที่ ลิเวอร์พูล ชนะ 37 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 23 เสมอ 28
พบกันทั้งหมดในพรีเมียร์ที่ ลิเวอร์พูล ชนะ 6 เอฟเวอร์ตัน ชนะ 2 เสมอ 7
สถิติที่พบกัน
ลิเวอร์พูล หวังจะเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน แบบไปกลับเป็นครั้งที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก และเป็นครั้งแรกตั้งแต่ฤดูกาล 2005/06
เกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ เป็นเกมที่มีสถิตินักเตะถูกไล่ออกมากกว่าการพบกับขอบคู่อื่นๆ ทั้งหมดในพรีเมียร์ลีกคือ 16 ใบแดง (ลิเวอร์พูล 6 เอฟเวอร์ตัน 10)
ข้อมูลที่น่าสนใจ
ลิเวอร์พูล
แพ้เพียงนัดเดียวใน 8 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ
เก็บแต้มได้ 19 คะแนนจาก 8 เกมลีกหลังสุด
แพ้เกมลีกน้อยนัดสุดอันดับ 3 ของลีกร่วมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด (4)
เป็นทีมที่เสมอมากนัดสุดเท่ากับ ฟูแล่ม (11) และเสมอแบบโนสกอร์มากนัดสุดเท่ากับ พอร์ทสมัธ (5)
เสียประตูน้อยสุดอันดับ 3 ของลีกคือ 24 ประตูจาก 31 นัดหรือเสียประตูเฉลี่ยทุกๆ 116 นาที
ถูกยิงประตูขึ้นนำไปก่อนน้อยนัดสุดอันดับ 2 ของลีก (8)
ชนะนัดเดียวจาก 5 เกมลีกหลังสุดที่พบทีมจากแถบตะวันตกเฉียงเหนือด้วยกันคือเกมที่ชนะ โบลตัน 3-1 เมื่อ 2 มี.ค.
ชนะรวดใน 5 เกมลีกในบ้านหลังสุด โดยทีมสุดท้ายที่บุกมาเก็บแต้มกลับจากแอนฟิลด์ได้คือ แอสตัน วิลล่า ในเกมที่เสมอกัน 2-2 เมื่อ 21 ม.ค. และมีเพียง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่บุกมาชนะได้ในซีซั่นนี้ (0-1 เมื่อ 16 ธ.ค)
แพ้เพียงนัดเดียวใน 20 เกมหลังสุดที่ลงเล่นในแอนฟิลด์ และยิงได้ 15 ประตูจาก 3 เกมหลังสุด
เกมนัดต่อไปจะออกไปเยือน อาร์เซน่อล ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ นัดแรก ก่อนจะกลับมาลงเล่นในบ้าน อีก 6 วันหลังจากนั้น
เกมลีกนัดที่เหลือจะเยือนอาร์เซน่อล, เหย้าแบล็คเบิร์น, เยือนฟูแล่ม, เยือนเบอร์มิ่งแฮม เหย้าแมนฯ ซิตี้ และเยือนสเปอร์ส
เอฟเวอร์ตัน
ชนะ 7 เสมอ 3 และแพ้แค่นัดเดียวใน 11 เกมลีกที่ลงเล่นในปี 2008
ไม่เสียประตูมากถึง 7 จาก 11 เกมลีกหลังสุดและเสียเพียง 4 ลูกเท่านั้นในช่วงนี้
เก็บแต้มไปแล้ว 57 คะแนนจาก 31 นัดมากกว่าช่วงเดียวกันของฤดูกาล 2004/05 ซึ่งจบด้วยอันดับ 4 อยู่ 6 คะแนน
ยิงประตูขึ้นนำไปก่อนมากนัดสุดอันดับ 2 ของลีก (20)
มีผู้เล่นถูกจดชื่อน้อยสุดของลีกคือ 30 ใบเหลือง 3 ใบแดง
ไม่แพ้เกมลีกมา 5 นัดติดต่อกันในการพบทีมแถบตะวันตกเฉียงเหนือด้วยกัน ตั้งแต่แพ้ แมนฯ ยูไนเต้ด 1-2 เมื่อ 23 ธ.ค.
เก็บแต้มจากเกมลีกนัดเยือนมากสุดอันดับ 3 ของลีก (27)
มีสถิติไม่เสียประตูในเกมลีกนอกบ้านมากนัดสุดอันดับ 2 ของลีก (7)
เกมลีกที่เหลือจะเหย้าดาร์บี้, เยือนเบอร์มิ่งแฮม, เหย้าเชลซี, เหย้าวิลล่า, เยือนอาร์เซน่อล และเหย้านิวคาสเซิ่ล

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

สรุป งาน Liverpool.in.th เพื่อ น้อง ครั้งที่ 2


แฟนลิเวอร์พูลเมืองไทยจัดงาน LIVERPOOL.in.th เพื่อน้องครั้งที่ 2

รีเซ่ป้องมาสเคทุ่มเทเกินร้อยจนอารมณ์เดือด


ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ กองหลังเท้าหนัก ของ ลิเวอร์พูล กางปีกปกป้อง ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ มิดฟิลด์ตัวเก่ง ว่าเป็นนักเตะที่ทุ่มเทเกินร้อย จนบางครั้งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ทำให้โดนไล่ออกในเกมพ่าย แมนฯ ยูไนเต็ด 3-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ แบ็กซ้ายทีมชาตินอร์เวย์ ของ ลิเวอร์พูล มหาอำนาจลูกหนังแห่งศึก พรีเมียร์ลีก ออกมาปกป้อง ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กองกลางเลือดอาร์เจนไตน์ ที่ถูกตะเพิดในเกมแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-3 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
มาสเคราโน่ โดนใบเหลืองที่ 2 หลังเข้าไปมีปากเสียงกับ สตีฟ เบนเน็ตต์ กรรมการในเกมนี้ ซึ่งเรื่องนี้ รีเซ่ เผยว่า มาสเค เป็นนักเตะที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่จนบางครั้งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ขณะเดียวกันยังแนะนำ เบนเน็ตต์ น่าจะพูดคุยกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีม "เดอะ เร้ดส" ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป
อดีตกองหลังโมนาโก กล่าวว่า "ผมไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน (ระหว่าง มาสเคราโน่ และ เบนเน็ตต์) แต่ผมรู้สึกว่าผู้ตัดสินน่าจะเรียก สตีเว่น เจอร์ราร์ด เพื่อพูดคุยกับเขาก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป เขา (มาสเคราโน่) โกรธมาก แต่เขาคงจะต้องเรียนรู้กับเหตุการณ์ในครั้งนี้ มาสเคราโน่ เป็นนักเตะที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่ เขารักสโมสร และชัยชนะ ดังนั้นเขาก็เลยอารมรณ์เดือดมากเกินไปหน่อยกับสถานการณ์ในตอนนั้น"
ขณะเดียวกัน รีเซ่ ยอมรับว่า "ปีศาจแดง" สมควรได้รับชัยชนะในเกมนี้ แม้ในใจลึกๆ จะรู้สึกรับไม่ได้ที่ต้องแพ้ทีมคู่อริตลอดกาลก็ตาม "ผมเกลียดความพ่ายแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่พวกเขาก็สมควรได้รับชัยชนะในเกมนี้ ผมรู้สึกว่าเราน่าจะทำอะไรได้บ้างในช่วงครึ่งหลังเมื่อตอนที่เรายังตามหลังแค่ลูกเดียวเท่านั้น"

วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551

มาสเคส่อโดนแบนยาวหลังเถียงใบแดงท่านเปา


ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กองกลางเลือดร้อน ลิเวอร์พูล มีแววเจอโทษแบนเป็นจำนวนหลายนัดเลยทีเดียว หลังก่อวีรกรรมเถียงคอเป็นเอ็นกับท่านเปา ระหว่างเกม "แดงเดือด" เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จนถูกอัญเชิญออกจากสนาม แต่ก็ไม่ยอมเดินจากไปในทันทีทันใด โดย เอฟเอ เตรียมตั้งโต๊ะสอบคดีเพื่อชี้ขาดต่อไปภายในวันอังคารนี้
ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ มิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก มีสิทธิ์ที่จะได้รับการตัดสินโทษแบนเพิ่มเติมอีกหลายนัด ภายหลังถูกไล่ออกจากสนามในเกม "แดงเดือด" ที่ "หงส์แดง" บุกพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0-3 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากใช้วาจาโต้เถียงอย่างรุนแรงกับผู้ตัดสิน สตีฟ เบนเน็ตต์ ในจังหวะแจกใบเหลืองให้ เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าทีมชาติสเปน แถมยังแสดงอาการฉุนเฉียวไม่ยอมเดินออกจากสนาม จนเพื่อนร่วมทีม และสตาฟฟ์โค้ชต้องเข้ามาห้ามปรามยกใหญ่อีกด้วย จากการเปิดเผยของโฆษกประจำสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ห้องเครื่องดีกรีทีมชาติอาร์เจนตินา วัย 23 ปี โดนแบนไป 1 นัดเรียบร้อยแล้ว จากการได้รับ 2 ใบเหลืองในเกมลีกนัดดังกล่าว แต่ เอฟเอ ก็สามารถพิจารณาโทษเพิ่มเติมได้ตามพฤติกรรมที่เจ้าตัวไม่ยอมเดินออกจากสนามในทันทีทันใด โดยจะมีการตัดสินใจชี้ขาดต่อไปภายในวันอังคารที่ 25 มี.ค.นี้
แอนดริน คูเปอร์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อมวลชนขององค์กรลูกหนังแดนผู้ดี เผยว่า "เมื่อนักเตะปฏิเสธที่จะเดินออกจากสนามโดยทันทีทันใด เราก็จะต้องมีกระบวนการเพิ่มเติมบทลงโทษต่อไปอย่างแน่นอน เราสามารถดำเนินคดีใดๆ ก็ตามที่ผู้ตัดสินไม่ได้เห็นเหตุการณ์ หรืออยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของเขา"
"ผู้ตัดสินทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ภายใต้กฎระเบียบของเกมการแข่งขันตามกรณีดังกล่าวนั้นไปแล้ว การดำเนินคดีใดๆ ที่ตามมาในภายหลังนั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตของกรรมการอย่างชัดเจน การตัดสินโทษเพิ่มเติมเป็นเรื่องที่มีความเป็นไปได้ แต่เราก็ไม่สามารถเอ่ยปากบอกสิ่งใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นได้จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ (วันอังคารที่ 25 มี.ค.)" คูเปอร์ ทิ้งท้าย
ทั้งนี้ พฤติกรรมสุดห่ามของ มาสเคราโน่ เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงแค่ 4 วันให้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์อื้อฉาวในกรณี แอชลี่ย์ โคล กองหลัง เชลซี หันหลังแสดงท่าทีไม่พอใจท่านเปา ไมค์ ไรลี่ย์ ขณะแจกใบเหลือง เนื่องจากพุ่งเข้าเสียบ อลัน ฮัตตัน แบ็กขวา ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ อย่างน่าเกลียด ในเกมลีก นัด "ลอนดอน ดาร์บี้แมตช์" ที่ทั้ง 2 ทีมเสมอกัน 4-4 ณ สนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน เมื่อวันพุธที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา โดย เบนเน็ตต์ เป็นผู้ตัดสินที่ 4 ในแมตช์นั้นเช่นกัน และถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักร่วมกับ ไรลี่ย์ ที่ไม่ยอมลงโทษสถานหนักกับแบ็กซ้ายทีมชาติอังกฤษ

In the End.....



เกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กับชัยชนะเหนือ ลิเวอร์พูล มันเหมือนเป็นอะไรที่สะใจแบบสุดๆ 3-0 สำหรับแฟนผี เฉกเช่นกับความไม่ปราณีของสิงห์บลูส์ที่ เดอะ บริดจ์ ซึ่ง เชลซี แสดงให้เห็นถึงทีมที่ดีกว่าหลังพลิกแซงเอาชนะคู่แข่งร่วมลอนดอนอย่าง "อ้ายปืนโต"
ก่อนเกมหวังว่าเกมวีกนี้มันส์คงจะมันส์พิลึกหาก ลิเวอร์พูล สามารถบุกไปยันเจ๊าหรือเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด ได้ และให้อาร์เซน่อลบุกมาชนะเชลซี ซึ่งตอนนั้น ทีมของ อาร์แซน เวน เกอร์ ก็จะไล่จี้เหลือแค่ 3 คะแนน
แต่ดูเหมือนว่า "ฝันก็ยังคงเป็นแค่ฝัน" สถิติยังคงเป็นสถิติ ผลคือ "ผีแดงไล่แทงหงส์ยับ" และ "ปืนแค่เสียว ก่อนเลี้ยววูบมรณะ" กลายเป็น เชลซี ที่ขึ้นไปนั่งรองจ่าฝูงแทน และ ไล่จี้ "ผีแดง" เหลือแค่ 5 คะแนน ขณะที่ อาร์เซน่อล ต้องร่วงมาเป็นอันดับสามเป็นครั้งแรกนับแต่เปิดฤดูกาลนี้มา
งง ! งง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น !! งง กับเด็กของ อาร์แซน เวนเกอร์ ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้พวกเขาไม่ชนะใครในพรีเมียร์ชิพ 5 นัดติดต่อกันแล้ว ซึ่งแม้ในทางทฤษฎีมันยังพอมี โอกาสที่พวกเขาจะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์
กับ 7 เกมที่เหลือ ทุกอย่างๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ความเป็นจริงแล้วยากเหลือเกินที่ แมนฯยูไนเต็ด จะปล่อยแชมป์สมัยที่ 10 หลุดลอยไป
สถานการณ์ในตอนนี้ อาร์เซน่อล คงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วล่ะ ว่าจะสู้ต่อไป หรือจะไปลุ้น แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พวกเขายังไม่เคยสัมพัส ในขณะที่ เชลซี และ แมนฯยูไนเต็ด พวกเขาก็มีลุ้น "ดับเบิ้ลแชมป์" ในปีนี้เช่นกัน เช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล แม้จะหมดลุ้นชูถ้วยพรีเมียร์ชิพเป็นครั้งแล้ว แต่ลูกทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ก็ยังอยู่ในเส้นทางคว้าแชมป์ ถ้วยบิ๊กเอียร์สมัยที่ 6
ย้อนกลับไปในศึก "แกรนด์สแลม บิ๊กแมตช์" ก่อนเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด "แดงเดือด" หนนี้หลากหลายกระแสเริ่มโอนเอียงไปทาง ลิเวอร์พูล หลังเริ่มโชว์ฟอร์มเข้าตา ซึ่งสปอร์ต ไลต์ของวันนี้จับภาพไปที่ เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ในซีซั่นนี้รวมทุกรายการกระหน่ำประตูคู่แข่งไปถึง 27 ประตู
ส่วน คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ ดาวซัลโวตัวเก่งของเจ้าถิ่นก็ยังเป็นที่จับตามองว่า "แดงเดือดครั้งที่ 11" ของปีกโปรตุกีสรายนี้จะยิงประตูแรกใน "Red War" ได้หรือไม่ ?
โดยในฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นฟอร์มที่พีคสุดยอดของ โรนัลโด้ หลังซัดนำเป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวน 24 ประตู (ก่อนแข่ง) และรวมทุกรายการ ไม่น่าเชื่อ!! ว่าเจ้าของหมาย เลข 7 รายนี้ทำลายสถิติในหนึ่งฤดูกาลของ จอร์จ เบสต์ ตำนานของปีศาจแดง ด้วยประตูรวมทั้งสิ้น 33 ประตู
อีกทั้งใน เกมแดงเดือด ของทั้งสองทีมไม่รู้เป็นไร หาก ยูไนเต็ด ได้ประตูทีไรมักจะเป็นกองหลังหรือแนวรับเสียมากกว่าที่เป็นผู้ทำประตู ซึ่งในครั้งนี้ บุคคลที่ไม่สมควรทำประตูก็ ดันทำประตู จากจังหวะที่ โฆเซ่ เรน่า ออกมาตัดบอลพลาด เวส บราวน์ มนุษย์สังหารหมายเลข 6 โฉบขึ้นโหม่งเข้าไปชนิดเหล่ากองเชียร์หลังประตูแถมจะอึ้งก่อนจะโห่ฮา เป่าปากดีใจ
หลังจากนั้นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งสำคัญของเกมก็คือการโดนไล่ออกของ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ในช่วงครึ่งเวลาแรก หลังสตีฟ เบนเน็ตต์ สิงห์เชิ้ตดำในแมตช์นี้ชูใบเหลืองใบที่สองกลาย เป็น ใบแดง ในข้อหาด่าทอ ใช้คำหยาบคาย หรือแสดงประพฤติกรรมไม่ยอมรับคำตัดสิน ทำให้ห้องเครื่องอาร์เจนไตน์ต้องออกไปอาบน้ำก่อนใคร
จริงอยู่ไม่อาจจะไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่สำคัญมากมายนัก เพราะในช่วงครึ่งเวลาหลัง "เอล ราฟา" ก็ยังคงใช้ 10 ผู้เล่นที่เหลือเช่นเดิม แต่รูปเกมพวกเขาก็ยังหาจังหวะเข้าไปส่องใน กรอบแทบจะไม่มี กลับกลายเป็นเหล่าฝูงอสูรที่ดาหน้าบุกเข้ามาชนิดไม่หยุดพักให้หายใจ
และในช่วง 11 นาทีสุดท้าย คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ ก็พังประตูแรกในเกมแดงเดือดได้สำเร็จ จากการวิ่งเข้าโฉบโหม่งบอลซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม เป็นประตูที่ 25 นำเป็นดาวซัลโว ของพรีเมียร์ชิพและดาวซัลโวของยุโรป
ซึ่งเพียงแค่ 0-2 ก็น่าจะเป็นความพ่ายแพ้ที่ไม่น่าจดใจแล้ว ยังมาเสียประตูที่ 3 จากการยิงของ นานี่ ดาวยิงสำรองที่เพิ่งเปลี่ยนลงมา จบเกมที่ "โอ.ที" แมนฯยูไนเต็ด เอาชนะคู่อริ ลิ เวอร์พูล 3-0 ซึ่งเป็นสกอร์ที่ขาดลอยครั้งที่ 2 ในรอบกว่า 15 ปี
มาถึงในคู่ที่สองช่วง 5 ทุ่ม ตามเวลาในเมืองไทย อาร์เซน่อล หลังเพิ่งจะรู้ผลคู่แดงเดือดไป แน่นอนว่าพวกเขาต้องเพิ่มความมุ่งมั่นและความกระหายมากขึ้นกว่าเดิม เพราะในขณะ นั้นลูกทีมของ เวนเกอร์ ตามหลัง "ผีแดง" ถึง 6 แต้ม
ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งเกมอะไรหลายๆ อย่างเริ่มจะเป็นใจให้กับขุนแข้งปืนโต การตามเข้าชาร์จระยะกว่า 5 หลาของ โซลามง กาลู ที่วืด การยิงของมิชาเอล บัลลัค แถมจะไม่ได้สร้าง ความหวาดหวั่นให้ อาร์เซน่อล เท่าไหร่
และในที่สุด บาการี่ ซานญ่า ฟลูแบ็กชาวฝรั่งเศสก็เบิกสกอร์แรกของตัวเองในพรีเมียร์ และช่วยให้ อาร์เซน่อล ขึ้นนำ เชลซี ไปก่อน 1-0 เกมทำท่าว่า โมเมนตั้ม จะไหลมาทางอาร์เซ น่อล เพราะถึงตอนนั้นพวกเขาความฝันในการคว้าบรรลังค์แชมป์พรีเมียร์ยังคงอยู่
แต่เพียงแค่ 13 นาทีให้หลังจากนั้น ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา ดาวยิงตัวเก่งก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นสุดยอดดาวยิงที่เก่งกาจที่สุดอีกครั้ง เมื่อรับบอลจากลูกดีดของ แลมพาร์ด ก่อนจะ ตะบันด้วยขวาเต็มข้อบอลพุ่งผ่านมือ อัลมูเนีย เข้าไปอย่างงดงาม
ถึงตอนนี้ช่วง 18 นาทีที่เหลือ เป็นอะไรที่บีบเค้นกดดันสำหรับทั้งสองทีมเสียเหลือเกิน เพราะทุกอย่างอาจเป็นไปได้ ทว่าสุดท้ายพระเจ้ากลับเลือกให้ฝากเจ้าถิ่นได้รับสามคะแนนเต็ม เมื่อบอลมาเข้าทางของ หัวหอกไอวอรี่ โคสต์ อีกครั้งก่อนที่ตัวเขาจะซัดเบิ้ลเป็นประตูชัยให้ สิงห์บลูส์ พลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ 2-1
กลับกลายเป็นว่า อาร์เซน่อล ที่นำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ชิพมาร่วม 7 เดือนกว่า กลับโยนมันทิ้งไปเพียงแค่ 5 เกมอาจสุดห่วยของพวกเขา แถมถีบคู่อริร่วมเมืองลอนดอน เชลซี ขึ้นไป นั่งรองจ่าฝูง
ซึ่งถึงตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะกาอาร์เซน่อลออกจากสารบบลุ้นแชมป์แล้ว แต่กลับเป็นว่าทีมอย่าง เชลซี ที่แรกๆ หลายคนอาจมองว่าซีซั่นนี้ของพวกเขาอาจจะจบลง แต่ไหน เลยที่ผ่านมาพวกเขา กลับกลายคล้ายเป็น "ตาอยู่" ที่ค่อยๆ เขยิบเข้ามา ซึ่งต้องลุ้นช่วง 7 เกมที่เหลือแบบนัดต่อนัดว่าทีมใดจะเข้าป้ายคว้าแชมป์

เบนิเตซเชื่อ11ตัวเท่ากันหงส์ไม่ถูกผีแดงไล่ยำแน่


ราฟาเอล เบนิเตซ นายใหญ่ ลิเวอร์พูล มั่นใจหากมีตัวผู้เล่นเท่ากันไม่มีทางแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดถึง 3-0 เหมือนเกมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน พร้อมกระตุ้นลูกทีมลืมความผิดหวังให้เร็วที่สุด เพื่อมีสมาธิในนัดรับมืออริร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน ในวันอาทิตย์ที่ 30 มี.ค.นี้
ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมชาวสเปนของ ลิเวอร์พูล มั่นใจถ้ามีผู้เล่นเท่ากันไม่มีทางถูก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไล่ถล่มแน่นอน หลังจากออกไปแพ้ขาดลอย 3-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
"เดอะ เร้ดส์" ที่มีสกอร์ตามอยู่ 1-0 ต้องเหลือผู้เล่น 10 คนในช่วงก่อนจบครึ่งแรก หลังจาก ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กองกลางทีมชาติอาร์เจนตินาได้รับใบเหลืองที่ 2 จากการเข้าไปเถียงกรรมการ สตีฟ เบนเน็ตต์ ก่อนที่พวกเขาจะแผ่วปลายโดน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และนานี่ ยิงคนล่ะประตูในช่วงท้ายเกมช่วยให้ขุนพล "ปีศาจแดง" คว้าชัยชนะไปขาดลอย 3-0
"ผมรู้สึกผิดหวังจริงๆ เพราะเราได้เห็นเกม 2 นัดในวันนี้ นัดแรกเป็นช่วงก่อนที่จะมีการไล่ออก และอีกนัดก็หลังจากนั้น ก่อนหน้าที่นักเตะของเราจะถูกไล่ออกเราก็ถือว่าเล่นได้ดีพอสมควร พยายามเล่นเกมสวนกลับ และมีลุ้นได้จังหวะเตะมุม"
"เรากดดันได้มากขึ้นในช่วงครึ่งหลัง แต่เมื่อคุณเล่นกับทีมที่มีความเร็ว และทักษะที่สูงก็กลายเป็นเรื่องที่ลำบาก ตอนนี้แฟนบอลของเราคงรู้สึกผิดหวังมาก และผมเป็นคนแรกที่ต้องผิดหวัง แต่เราคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้"
อดีตเทรนเนอร์บาเลนเซีย ยอมรับว่าเกมรับที่ผิดพลาดทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องประสบความปราชัย "เราเสีย 2 ประตูจาก 2 ความผิดพลาดในแนวรับ เปเป้ เรน่า ทำผลงานได้ดีกว่านักเตะคนอื่น และบางครั้งคุณคิดว่าคุณสามารถเข้าถึงบอลก่อน แต่คุณกลับไปถึงช้า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้"
นอกจากนี้ กุนซือวัย 47 ปี ยังกล่าวถึง เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกฟอร์มฮอต ที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกเปลี่ยนในช่วง 10 นาทีสุดท้าย หลังโดน เนมานย่า วิดิช และ ริโอ เฟอร์ดินานด์ คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟเจ้าถิ่น ไล่อัดตลอดทั้งเกม "เขามีอาการเจ็บที่ซี่โครง และข้อเท้า เขาโดนกระแทก และถูกเตะเยอะมาก ผมก็แค่พยายามปกป้องเขา จากนี้ทีมแพทย์คงจะต้องส่งเขาเข้าไปรับการสแกน และเราคงจะต้องเฝ้ารอดูกันต่อไป"
อย่างไรก็ตาม ราฟา กล่าวกระตุ้นขุนพล "หงส์แดง" ให้รีบลืมความเจ็บปวดในเกมนี้ และมุ่งมั่นมีสมาธิในเกมมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ กับ เอฟเวอร์ตัน ที่แอนฟิลด์ วันที่ 30 มีนาคมนี้ เพื่อรักษาตำแหน่งอันดับ 4 ในการได้โควตาไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
"เกมนี้มันจบไปแล้ว ตอนนี้เรามีเกมพักเบรกให้ทีมชาติลงเล่น และจากนั้นก็มีเกมสำคัญพบกับ เอฟเวอร์ตัน ผมคงจะพูดกับนักเตะทุกคนให้ลืมเกี่ยวเกมนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และคิดถึงเกมกับ เอฟเวอร์ตัน เท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลืม เมื่อคุณแพ้กับหนึ่งในทีมคู่แข่งของคุณ คุณก็รู้เรื่องนั้นดี ถ้าคุณชนะพวกเขา โอกาสลุ้นแชมป์มันก็ใกล้ขึ้น แต่สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราต้องทำคือคิดเกี่ยวกับเกมนัดต่อไป"

ตอร์เรสส่อถอนทัพกระทิงหวดเลี่ยน


เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าตัวเก่ง ลิเวอร์พูล ส่อแววขอถอนตัวจากทีมชาติสเปน ในเกมลับฝีเท้ากับ อิตาลี ทีมแชมป์โลก ในวันพุธนี้ หลังมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยมาจากเกมแดงเดือด โดยจะต้องรอดูผลการตรวจจากทีมแพทย์ "หงส์แดง" ในวันจันทร์นี้เสียก่อน จึงจะทราบผล
เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าเบอร์หนึ่งของ ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อาจจะออกมาประกาศขอถอนตัวจากทีมชาติสเปน ในเกมที่จะอุ่นเครื่องกับ อิตาลี ในวันพุธที่ 26 มีนาคมนี้ หลังจากถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงท้ายเกม ของศึกแดงเดือดกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ตอร์เรส ถูกทำฟาวล์อย่างรุนแรงโดย ไมเคิ่ล คาร์ริค กองกลาง "ปีศาจแดง" ในนาทีที่ 80 และก่อนหน้านั้นดาวยิงสแปนิช ก็ถูก ริโอ เฟอร์ดินานด์ เซนเตอร์แบ็ก "ผีแดง" ตามหยุดเกมในหลายๆ จังหวะ โดย "หงส์แดง" เตรียมจะทำการประเมินอาการบาดเจ็บของเขาในวันจันทร์ที่ 24 มีนาคมนี้
"เขาถูกกระแทกบริเวณซี่โครงและข้อเท้า และถูกเข้าปะทะ และเตะอีกหลายต่อหลายครั้ง ผมแค่พยายามปกป้องเขา แพทย์ของทีมจะทำการตรวจอย่างละเอียด และเราจะได้รู้กัน" กุนซือเลือดกระทิง กล่าวถึงดาวยิงตัวเก่ง อย่างไรก็ดี ราฟา เชื่อว่า ตอร์เรส จะพร้อมลงเตะในเกม "เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์" กับ เอฟเวอร์ตัน ในวันอาทิตย์หน้าอย่างแน่นอน

ราฟาป้องมาสเคไม่สมควรโดนใบแดง


ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือลิเวอร์พูล กางปีกปกป้องลูกทีม หลังเกมที่บุกไปแพ้ยับต่อ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-3 ยอมรับสุดช็อกที่เห็นท่านเปาแจกใบแดงไล่ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ทั้งที่เข้าไปถามเพียงประโยคเดียว พร้อมอุ้ม โฆเซ่ เรน่า นายทวาร ที่พลาดจังหวะตัดบอลกลางอากาศจนเสียถึง 2 ประตู
ราฟาเอล เบนิเตซ หัวหน้าโค้ชทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ออกมาแสดงความไม่พอใจเล็กน้อยกับการตัดสินของ สตีฟ เบนเต็ตต์ ผู้ตัดสินในสนาม ในเกมพรีเมียร์ลีกที่ ลิเวอร์พูล บุกไปแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 0-3 เมื่อสุดสัปดาห์ ชี้ทำโทษเกินกว่าเหตุที่ให้ใบเหลืองที่ 2 กับ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กองกลางชาวอาร์เจนไตน์ ตั้งแต่ในครึ่งแรก จากจังหวะที่เข้าไปถามเหตุผลที่ให้ใบเหลืองกับ เฟร์นานโด ตอร์เรส กองหน้าเพื่อนร่วมทีม จนตัวเองต้องโดนไล่ออกแทน และเป็นผลร้ายกับทีมที่ไม่สามารถกลับสู่เกมในครึ่งหลัง
ราฟา ยอมรับว่าลูกทีมตัวเองควรระวังตัวมากกว่านี้ แต่ขณะเดียวกันไม่เข้าใจกับการตัดสินของกรรมการ ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญในการตัดสินเกมนัดนี้ โดยกล่าวว่า "ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ไปด่าหรือเถียงอะไรเลย ผมได้ถามกับ ไรอัน บาเบล ที่อยู่ใกล้ในเหตุการณ์มากสุด ซึ่งยืนยันว่าเขาไม่ได้สบถ เพียงแต่เข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น ในเกมใหญ่ลักษณะนี้ ซึ่งเป็นการเจอกันเองของบิ๊กโฟร์ การไล่ออกเพียงเพราะไปถามความเห็นกรรมการถือเป็นเรื่องตลกและน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง"
"ผมต้องพยายามปลอบนักเตะให้ใจเย็นลง ทุกคนรู้ว่าเขามีความเป็นมืออาชีพ ดังนั้นผมจึงผิดหวังกับการตัดสินของกรรมการครั้งนี้ เช่นเดียวกับตัวนักเตะที่แปลกใจกับใบแดงที่ได้รับ เพียงเพราะเขาไปถามว่า เกิดอะไรขึ้น? ผมเองได้คุยกับเขาเรื่องนี้บ้างแล้ว และเขาพอสำนึกว่าได้ทำข้อผิดพลาดบางอย่าง"
นอกจากนี้ กุนซือเลือดสแปนิช ยังปกป้อง โฆเซ่ เรน่า ผู้รักษาประตูเพื่อนร่วมชาติ ที่ทำพลาดถึง 2 ครั้งในจังหวะตัดบอลกลางอากาศ จนเป็นเหตุให้โดน เวส บราวน์ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ โหม่งคนละประตูในเกมนี้ โดยกล่าวว่า "บางครั้งผู้รักษาประตูก็ทำข้อผิดพลาด มันเกิดขึ้นได้ในเกม"

ลิเวอร์พูลในศึกวันแดงเดือด






















ชมภาพลิเวอร์พูลในศึกวันแดงเดือด

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2551

ศึกแดงเดือดผีฟอร์มหรู! ไล่ต้อนหงส์10ตัวยับ3-0


ศึกแดงเดือดผีฟอร์มหรู! ไล่ต้อนหงส์10ตัวยับ3-0
"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มสุดเฉียบ หลังเปิดรัง โอลด์ แทร๊ฟฟอร์ด ทำศึก "วันแดงเดือด" กับคู่อริ ลิเวอร์พูล ก่อนเป็นฝ่ายไล่ถล่มทีม "หงส์แดง" ไปแบบขาดลอย 3-0 เวส บราวน์,คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ หลุยส์ นานี่ แบ่งซัดคนละตุง ขณะที่ ฮาเบียร์ มาสเคราโน่ ของทีมเยือน โดนไล่ออกตั้งแต่ท้ายครึ่งแรก
แมนฯยูไนเต็ด 3 - ลิเวอร์พูล 0
"ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดรัง โอลด์ แทร๊ฟฟอร์ด ทำศึก "วันแดงเดือด" กับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล งานนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนามโดยมี เวย์น รูนี่ย์ ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, พอล สโคลส์, ไรอัน กิ๊กส์, ไมเคิ่ล คาร์ริก และ อันแดร์สัน อยู่กันครบ ขณะที่ คาร์ลอส เตเวซ นั่งสำรอง
ฝั่งทีมเยือนก็สมบูรณ์เช่นกันนำมาโดย เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่กำลังร้อนแรงมี ไรอัล เบเบิ้ล กับ เดิร์ค เค้าท์ อยู่ในแนวรุกด้วย
ออกสตาร์ต 6 นาที แมนฯยูไนเต็ด ได้ลุ้นก่อนเมื่อ อันแดร์สัน จ่ายทะลุให้ เวย์น รูนี่ย์ หลุดเข้าไปยิงในเขต แต่เสียหลักนิดหน่อยเพราะมี เจมี่ คาร์ราเกอร์ บี้อยู่ทำให้ รูนี่ย์ ยิงไปติดเซฟของ โฆเซ่ เรน่า
หลังจากนั้น 7 นาที ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นบ้างเมื่อ อัลวาโร่ อาร์เบลัว หลุดไปทางซ้ายสวยเหลือเกิน แต่กึ่งยิงกึ่งผ่านไม่ดีเอาซะเลย บอลผ่านหน้าประตูไปแบบน่าเสียดาย โดยก่อนหน้านั้น ฮาเบียร์ มาสเคราโน่ รับใบเหลืองเป็นคนแรกจากการไม่ยอมรับการตัดสินของ สตีฟ เบนเนตต์
ผ่านไปถึงกลางครึ่งแรก แมนฯยูไนเต็ด น่าได้เหลือเกินเมื่อได้ฟรีคิกทางขวา ไรอัน กิ๊กส์ โยนเข้าไปที่เสาสอง มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่หลุดไปยิงเผาขน บอลชนเสากระดอนออกไปน่าเสียดาย
หงส์แดง ก็ได้ลุ้น น.26 เมื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด สับไกจากระยะ 25 หลาแฉลบหลังผู้เล่น แมนฯยูไนเต็ด ข้ามคานแบบสุดเสียว
แล้วก็เป็นเจ้าถิ่นที่ทำประตูขึ้นนำ น.34 จาก เวย์น รูนี่ย์ ที่โยนบอลทางซ้ายให้ เวส บราวน์ กระโดดเช้าชาร์จโดนหลังในกรอบ 6 หลาบอลสวนทาง เรน่า เข้าประตูไป แมนฯยูไนเต็ด นำ 1-0
ก่อนหมดครึ่งแรก 5 นาที แมนฯยูฯ เกือบได้อีก เมื่อ รูนี่ย์ ได้โหม่งกดลงพื้นไม่ถึง 10 หลา แต่ตรงตัวของ เรน่า จากนั้นไม่นาน เรน่า ขว้างบอลไม่ดูตาม้าตาเรือโดน อันแเดร์สัน ตัดได้แล้วยิงสวน 35 หลาโด่งข้ามคานออกไป
ก่อนหมดเวลานาทีเดียว ลิเวอร์พูล ต้องเหลือ 10 คนเมื่อ ฮาเบียร์ มาสเคราโน่ อารมณ์เสียวิ่งเข้าไปต่อว่าต่อขาน สตีฟ เบนเนตต์ จึงทำให้โดนชักใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนามแบบไม่น่าโดน หมดครึ่งแรก แมนฯยูไนเต็ด นำ 1-0
ครึ่งหลังทั้งสองทีมไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น เริ่มเขี่ยบอลได้นาทีเดียว แมนฯยูฯ เกือบได้เม็ดที่ 2 เมื่อ โรนัลโด้ หลุดไปกระดกบอลในเขตโทษ แต่ติดเซฟของ เรน่า ซะก่อน น.53 แมนฯยูไนเต็ด ได้ฟรีคิกทางซ้าย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ วิ่งเข้าไปอัดด้วยขวา บอลผ่านกำแพงและถากเสาออกไปน่าเสียดาย
แมนฯยูไนเต็ด พลาดโอกาสทองเมื่อ รูนี่ย์ หลุดไปดูดบอลในเขตโทษก่อนจะยิงเหน่งๆ แต่ไปติดเซฟของ โฆเซ่ เรน่า ซะได้
ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นตีเสมอ น.71 จากลูกยิงไกลตามสไตล์ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ทว่าบอลก็หลุดกรอบออกไปหลายหลา จากนั้นไม่นาน แมนฯยูฯ ได้ลุ้นจาก รูนี่ย์ ที่จ่ายให้ อันแดร์สัน ยิง 30 หลาโด่งออกไปไกล ถึงตรงนี้ แมนฯยูฯ เปลี่ยน 2 คนโดยเอา อันแดร์สัน กับ ไรอัน กิ๊กส์ ออก แล้วส่ง คาร์ลอส เตเวซ กับ หลุยส์ นานี่ ลงไป
คาร์ลอส เตเวซ ลงไปไม่กี่วินาทีโดนบอลครั้งแรกก็ได้ยิงเลย จากระยะไม่ถึง 10 หลา แต่ เรน่า โชว์ซูเปอร์เซฟป้องกันได้อีกเช่นเคย
ก่อนหมดเวลา 11 นาทีเจ้าถิ่นก็ได้ประตูที่ 2 จนได้เมื่อได้เตะมุม คาร์ริก โยนเข้าไปให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โหม่งเผาขนเข้าประตูไป แมนฯยูไนเต็ด นำ 2-0
จากนั้นอีก 2 นาทีสกอร์ก็ไหลอีก รูนี่ย์ จ่ายเข้าช่องให้ หลุยส์ นานี่ แตะหนึ่งจังหวะแล้วยิงจากนอกเขตทันที แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นำ 3-0
แมนฯยูไนเต็ด ครองเกมเอาไว้ได้หมด ครบ 90 นาทีจึงเป็นฝ่ายเอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปสบายๆ 3-0 เก็บ 3 คะแนนเต็มนำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกต่อไป
รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีม
แมนฯยูไนเต็ด : เอ๊ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์, เวส บราวน์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมานย่า วิดิช, ปาทริซ เอวร่า, คริสเตียโน่ โรนัลโด้, พอล สโคลส์, ไมเคิ่ล คาร์ริกส์, โอลิเวร่า อันแดร์สัน (คาร์ลอส เตเวซ น.73), ไรอัน กิ๊กส์ (หลุยส์ นานี่ น.73), เวย์น รูนี่ย์
สำรองไม่ได้ใช้ : โทมัส คูซแซ็ค, โอเว่น ฮาร์กรีฟส์, จอห์น โอเชีย
ลิเวอร์พูล : โฆเซ่ มานูเอล เรน่า, อัลวาโร่ อาร์เบลัว, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, ฟาบิโอ ออเรลิโอ, ฮาเบียร์ มาสเคราโน่, ชาบี อลอนโซ่, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, เคิร์ก เค้าท์, ไรอัน เบเบิ้ล (ยอสซี่ เบนายูน น.66), เฟร์นานโด ตอร์เรส (ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ น.83)
สำรองไม่ได้ใช้ : ชาร์ลส์ อิต็องเช่, ซามี่ ฮูเปีย, ปีเตอร์ เคร้าช์
ผู้ตัดสิน : สตีฟ เบนเนตต์

ลือหงส์พร้อมทุ่ม780ล. กระชากเบนท์ลี่ย์เข้ารัง


ลือหงส์พร้อมทุ่ม780ล. กระชากเบนท์ลี่ย์เข้ารัง
ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือ ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวสนคว้า เดวิด เบนท์ลี่ย์ ปีกตัวเก่ง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เสริมทัพ โดยเตรียมยื่นข้อเสนอ 780 ล้านบาท พร้อมแถม เจอร์เมน เพนแนนท์ เข้าไปในส่วนหนึ่งสัญญา
ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ตกเป็นข่าวว่าต้องการที่จะคว้าตัว เดวิด เบนท์ลี่ย์ ปีกตัวเก่ง "กุหลาบไฟ" แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส มาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ จากการรายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม ที่ผ่านมา
ลิเวอร์พูล พร้อมยื่นข้อเสนอจำนวน 12 ล้านปอนด์ (780 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัวดาวเตะวัย 23 ปี แต่คาดว่าจะต้องแย่งกับ "ตราหมี" แอตเลติโก มาดริด สโมสรจากศึกลา ลีกา สเปน ที่ต้องการได้ตัวไปร่วมทีมด้วยเช่นกัน
เบนท์ลี่ย์ ต้องการลงเล่นในเกมสโมสรยุโรป และจากการที่ ลิเวอร์พูล มีแนวโน้มที่จะได้ไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า ทำให้ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ อาจตัดสินใจอำลาถิ่นอีวู้ด พาร์ค ในช่วงจบฤดูกาลนี้
อดีตดาวเตะ อาร์เซน่อล ยังไม่สามารถตกลงสัญญาฉบับใหม่กับ แบล็คเบิร์น ได้ แม้ว่าปัจจุบันยังเหลือสัญญากับต้นสังกัดอีก 2 ปีก็ตาม โดย "กุหลาบไฟ" พร้อมยื่นค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 30,000 ปอนด์ (1.95 ล้านบาท) แต่คาดว่าเขาจะได้รับมากกว่านี้เป็นเท่าตัวที่แอนฟิลด์
มีการคาดหมายว่า เจอร์เมน เพนแนนท์ ปีกขวา ลิเวอร์พูล จะถูกรวมอยู่ในส่วนหนึ่งของสัญญาการซื้อตัว เบนท์ลี่ย์ ขณะที่ ฟาบิโอ คาเปลโล่ ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ก็แนะว่า สตาร์ แบล็คเบิร์น จะพัฒนามากกว่านี้ หากมีโอกาสได้เล่นในเกมยุโรปอย่างสม่ำเสมอ

ประวัติสโมสรลิเวอร์พูล


สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นเมื่อ 15 มีนาคม1892 จากการแยกตัวออกไปของสโมสรเอฟเวอร์ตันเหตุจากความขัดแย้งเรื่องค่าเช่าสนาม ทำให้สโมสรเอฟเวอร์ตันต้องย้ายออกจากถิ่นแอนฟิลด์ จอห์น โฮลดิ้ง เจ้าของสนาม จึงได้ร่วมมือกับ วิลเลียม อี บาร์เคลย์ และแฟนบอลกลุ่มหนึ่งออกมาตั้งทีมฟุตบอลใหม่กันเอง โดยได้ตั้งชื่อตามชื่อเมืองในปี 1894 และใช้สีแดงซึ่งเป็นสีประจำเมืองเป็นสีของเสื้อทีมเหย้า ในปี 1901 มีการเพิ่มสัญลักษณ์นกลิเวอร์เบิร์ดบนหน้าอกเสื้อทีมวิลเลียม อี บาร์เคลย์ คือผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสร จอห์น แม็คเคนน่า รับหน้าที่เป็นประธานสโมสรและเป็นบุคคลซึ่งอยู่เบื้องหลังความสำเร็จในระยะแรกๆของทีม ลิเวอร์พูล ลงแข่งขันครั้งแรกใน แลงคาเชียร์ ลีก หรือลีกท้องถิ่น การแข่งขันอย่างเป็นทางการนัดแรกของลิเวอร์พูลเป็นเกมในบ้านพบกับไฮเออร์ วอลตัน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 1892 ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 8-0 มันเป็นการเริ่มต้นที่สุดวิเศษและลิเวอร์พูลก็ผงาดคว้าแชมป์แลงคาเชียร์ ลีกไปครองอย่างง่ายดาย และนี่คือผลงานที่น่าเหลือเชื่อสำหรับทีมที่ก่อตั้งขึ้นมายังไม่ถึงหนึ่งปี ก่อนก้าวขึ้นสู่ดิวิชั่น2 และ ดิวิชั่น1 ตามลำดับปี 1896 ถือเป็นปีแห่งการเริ่มต้นความสำเร็จ เมื่อ ทอมมี่ วัตสัน เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการคุมทีม สิ่งที่เขาทำให้กับสโมสรนี้มีค่ามากมายเหลือเกิน แซม เรย์โบลด์ กองหน้าจอมถล่มประตู และ ราอิสเบ็ค กองหลังจอมแกร่ง คือคีย์แมนที่ทำให้ทีมลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 สมัยแรกมาประดับสโมสรในปี 1901 โดยใช้ระยะเวลาเพียงแค่แปดปีหลังจากเข้าร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศ หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีกสมัย ในปี 1906 และนับเป็นถ้วยรางวัลสุดท้ายในยุคของ กุนซือ ทอมมี่ วัตสันปี 1920 เดวิด แอชเวิร์ธ คือผู้จัดการทีมรายที่สองที่เข้ามาคุมทีม และเพียงแค่ปีเดียวภายใต้การนำของ แอชเวิร์ธ ทีมก็คว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้ในปี 1921 ทีมในชุดนี้เน้นไปที่แผงหลังอันแข็งแกร่ง ประกอบด้วย ผู้รักษาประตูทีมชาติไอร์แลนด์ เอลิชา สก็อตต์ กองหลัง อีเพลม ลองวอร์ธ ,ทอม ลูคัส และ ดอน แม็คกินเลย์ สองฟูลแบ็ค แฮร์รี่ แชมเบอร์ ดาวซัลโวประจำทีมด้วยจำนวน 19 ประตู และคู่ขาในแดนหน้า ดิ๊ก ฟอร์ชอว์ ซึ่งยิงไป 17 ประตู เดวิด แอชเวิร์ธ วางมือจากการคุมทีมในปี 1922ปี 1923 แม็ตต์ แม็คควีน อดีตนักเตะยุคเริ่มก่อตั้งสโมสรลิเวอร์พูลในปี 1892 โดยสมัยค้าแข้งเจ้าตัวลงเล่นให้สโมสรถึง 150 เกมเลยทีเดียว แม็คควีน เข้ามารับงานต่อจากกุนซือคนก่อน เดวิด แอชเวิร์ธ ในช่วงปลายของฤดูกาล 1922-23 ซึ่งขณะนั้นทีมมีคะแนนนำเป็นจ่าฝูง แม็คควีน พาทีมจบฤดูกาลด้วยการป้องกันแชมป์ไว้ได้อีกสมัย ทีมลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมเรื่อยมา ไล่ตั้งแต่ปี 1928-36 จอร์จ เพ็ตเตอร์สัน ,1936 จอร์จ เคย์ และก็เป็นกุนซือ เคย์ ที่พาทีมประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่ 5 ของสโมสรในปี 1946 จอร์จ เคย์ เป็นผู้จัดการทีมที่พาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ในปี 1950 กับ อาร์เซน่อล ที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของสโมสรที่มีโอกาสได้ลงเล่นที่สนามเวมบลีย์ทีมชุดนั้นประกอบด้วย ไซริล ซิดโลว์,เรย์ แลมเบิร์ท,เอ็ดดี้ สไปเซอร์,ฟิล เทย์เลอร์ (กัปตันทีม),บิลล์ โจนส์,ลอวลี่ ฮิวจ์ส,จิมมี่ เพย์น,เบรอน,อัลเบิร์ต สตั๊บบินส์,โจ เฟแกน,บิลลี่ ลิดเดลล์ แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้ลงเล่นที่เวมบลีย์ ท่ามกลางแฟนบอล 100,000 คน แต่ผลการแข่งขันกลับไม่เป็นใจ ทีมหงส์แดงกลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ อาร์เซน่อล ไป 2-0 ทำให้ทำได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์ และนั่นคือผลงานชิ้นสุดท้ายของ จอร์จ เคย์ดอน เวลช์ คือกุนซือที่เข้ามารับตำแหน่งแทน จอร์จ เคย์ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพ แต่ผลงานกลับเลวร้ายลงอย่างไม่คาดคิด ทีมต้องตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในปี 1954 ดอน เวลช์ พยายามที่จะพาทีมกลับขึ้นสู่ดิวิชั่น1 ในฤดูกาลต่อมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนทีมต้องสั่งปลด และนับเป็นครั้งแรกของสโมสรที่มีการไล่ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่ง ฟิล เทย์เลอร์ อดีตนักเตะกัปตันทีมลิเวอร์พูลชุดคว้าแชมป์ลีกปี 1946 เข้ามารับหน้าที่กู้้วิกฤิตให้กับทีม แต่ก็ต้องผิดหวังเนื่องจากไม่สามารถพาทีมกลับขึ่นสู่ดิวิชั่น1 ได้ทำให้ เทย์เลอร์ ตัดสินใจอำลาทีมวันที่ 1 ธันวาคม 1959 คือวันที่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสร ด้วยการประกาศแต่งตั้ง บิล แชงคลีย์ อดีตกุนซือของฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์เข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ บิล แชงคลีย์ จัดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในสโมสร สนามซ้อมเมลวู๊ด ถูกซ่อมแซมปรับปรุงพื้นหญ้าใหม่ นำวิธีการฝึกซ้อมใหม่ๆมาสู่ทีม และเป็นคนเลือก11นักเตะลงสู่สนามเอง เขาจัดการโละนักเตะออกไปหลายคนและจากนั้นเขาก็ได้นำนักเตะที่มีแนวคิดที่ตรงกันในเกมเข้ามาสู่ทีม โรเจอร์ ฮันท์ ดาวยิงซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของดาวยิงตลอดกาลของสโมสรก็เป็นผลงานการคว้าตัวของ บิล แชงคลีย์เพียงแค่ 3 ปี ลิเวอร์พูลก็กลับคืนสู่ดิวิชั่น1 ได้อีกครั้งในฤดูกาล 1961-62 และนับเป็นการคืนสู่ดิวิชั่น1 ที่มั่นคงกว่าครั้งก่อนๆ บิล แชงคลีย์ พาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น1 ได้เป็นสมัยที่6ของสโมสรในฤดูกาล 1963-64 ถัดจากนั้นอีกเพียงแค่ปีเดียว แชงคลีย์ พาทีมหวนคืนสู่สนามเวมบลีย์อีกครั้งในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ โดยพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด แต่ในเวลา 90 นาที ทั้งสองทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ ทำให้ต้องลงเล่นในช่วงต่อเวลา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศบอลถ้วยที่ต้องมีการต่อเวลานับตั้งแต่ปี 1947 ช่วงต่อเวลาพิเศษ โรเจอร์ ฮันท์ โขกให้ทีมออกนำ ก่อนมาถูกลีดส์ ตีเสมอจากการยิงของ บิลลี่ เบรมเนอร์ หงส์แดงมาได้ประตูชัยจาก เอียน เซนต์จอห์น ที่ได้โขกจ่อๆให้ทีมชนะไปในที่สุด 2-1 คว้าถ้วยแชมป์เอฟเอ คัพ กลับสู่เมืองลิเวอร์พูล ซึ่งต้องรอคอยมายาวนานถึง 73 ปี ปี1966 แฟนบอลลิเวอร์พูลนำเพลง You'll Never Walk Alone มาร้องในสนามซึ่งเหมือนเป็นแรงพลักดันได้เป็นอย่างดีฤดูกาล 1972-73 ลิเวอร์พูลสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่สามารถคว้าถ้วยสโมสรยุโรปมาครองได้ในรายการของ ยูฟ่า คัพ ด้วยการเอาชนะ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 พร้อมจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดับเบิ้ลแชมป์ โดยก่อนหน้านี้คว้าแชมป์ลีกมาครองได้แล้ว ฤดูกาลต่อมาลิเวอร์พูลก้าวเท้าเข้าสู่สนามเวมบลีย์ พร้อมผงาดคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ด้วยการชนะ ได้อีกสมัยหลังจบฤดูกาลแฟนบอลลิเวอร์พูลก็ต้องช็อคกันทั้งเมืองเมื่อ บิล แชงคลีย์ ประกาศวางมือจาการคุมทีมบิล แชงคลีย์ นำความสำเร็จมาสู่สโมสรอย่างมากมายตลอดระยะเวลา 10 ปีที่เจ้าตัวคุมทีม จนทำให้สังเวียนแอนฟิลด์กลายเป็นสังเวียนแข้งที่น่ากลัวสำหรับทุกทีมที่มาเยือน แชงคลีย์ นำนักเตะที่มีความสามารถมาสู่ทีมมากมายไล่ตั้งแต่ยุคแรกๆอย่าง เอียน เซนต์จอห์น,รอน เยตส์,เอมลีน ฮิวจ์ส และคนที่ถือว่าเป็นการคว้าเพชรเม็ดงามมาสู่ทีมก็คือคู่หูจอมถล่มประตู เควิน คีแกน และ จอห์น โตแช๊ค สโมสรได้แต่งตั้ง บ็อบ เพสลีย์ อดีตนักเตะของสโมสรและยังเป็นมือขวาของ บิล แชงคลีย์ ขึ้นมาคุมทีมในฤดูกาล 1974 เพสลีย์ ยังคงใช้ห้องเก็บรองเท้าหรือที่เรียกกันว่า "บูธรูม" เป็นสถานที่สำหรับพูดคุยและวางแผนในการลงเล่นแต่ละนัด นักเตะในทีมอย่าง เควิน คีแกน เริ่มอิ่มตัวกับฟุตบอลอังกฤษจึงย้ายไปเล่นในเยอรมันกับฮัมบูร์ก เพสลีย์ จึงหันไปคว้าตัว เคนนี่ ดัลกลิช กองหน้าจาก เซลติก มาสู่ทีม ไม่นานนัก แกรม ซูเนสส์ นักเตะสกอตแลนด์อีกคนก็ย้ายมาสู่ทีม เมื่อบวกกับนักเตะเก่าในทีมอย่าง ฟิล ธอมป์สัน,เทอร์รี่ แม็คเดอร์ม็อด,เรย์ คลีเมนซ์,อลัน เคนเนดี้ ทีมชุดนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากปี 1981 เพสลีย์ ยังคงนำนักเตะฝีเท้าดีเข้ามาสู่ทีมอย่างต่อเนื่อง บรูซ กร็อบเบลล่า,เอียน รัช,รอนนี่ วีแลน,เคล็ก จอห์นสตัน ทั้งหมดคือคีย์แมนในยุคของ บ็อบ เพสลีย์ ทำให้สโมสรลิเวอร์พูลรุ่งเรืองสุดขีดในช่วงที่เจ้าตัวคุมทีม พาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 6สมัย, แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ (ปัจจุบันคือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) 3สมัย, ยูฟ่า คัพ 1สมัย, ลีก คัพ 3สมัย, ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ 1สมัย และแชมป์ แชริตี้ ชิลด์ อีก 5 สมัย รวมแล้ว 19 รางวัลตลอดระยเวลาเพียงแค่ 9 ปี ชื่อของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่แล้วก็ถึงเวลาเมือ บ็อบ เพสลีย์ ประกาศวางมือไปอีกคนโจ เฟแกน หนึ่งในผลผลิตจาก "บูธรูม" อีกคนก้าวขึ้นคุมทีมในปี 1983 ดูเหมือนงานคุมทีมในสโมสรจะมีรากฐานที่แน่นมาตั้งแต่สมัยของ บิล แชงคลีย์ เพราะสโมสรยังคงทำผลงานได้ดีเรื่อยมาคว้าแชมป์ลีกครั้งที่15ของสโมสรในฤดูกาล 1983-84 เท่านั้นยังไม่พอเมื่อพลพรรคหงส์แดงได้เข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลลีกคัพ โดยเป็นการพบกับคู่ปรับร่วมเมือง เอฟเวอร์ตัน ซึ่งถือเป็นเมอร์ซี่ไซด์ดาร์บี้แมตช์นัดชิงครั้งแรกของทั้งสองทีม ผลจบลงด้วยการเสมอกันในนัดแรกต้องไปเตะกันใหม่ที่สนามของแมนฯซิตี้ โดย แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้ยิงประตูชัยให้กับทีมเอาชนะไป 1-0 พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ 3 สมัยติดลิเวอร์พูลเดินหน้าคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ต่อด้วยการคว้าแชมป์ยุโรปได้เป็นสมัยที่ 4 ของสโมสรด้วยการยิงจุดโทษชนะ โรม่า ถึงกรุงโรม และนั่นเป็นครั้งแรกของสโมสรที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้ หลังจบฤดูกาล แกรม ซูเนสส์ ย้ายไปเล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย กำลังหลักของทีมหลายคนเริ่มออกจากทีม ทำให้ผลงานในลีกไม่ดี ทุกคนจึงพุ่งเป้าไปที่แชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 แทนวันที่ 29 พฤษภาคม ปี 1985 ลิเวอร์พูล พบกับ ยูเวนตุส ในรอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยน คัพ ที่กรุงบรัสเซลล์ บรรยากาศในสนามเริ่มรุนแรงขึ้นหนึ่งชั่วโมงก่อนเกมเริ่ม แฟนบอลทั้งสองฝั่งมีปากเสียงกันผ่านที่กั้นซึ่งทำด้วยลูกกรง และหลังจากที่มีการขว้างปาสิ่งของ แฟนลิเวอร์พูลบางคนเริ่มวิ่งเข้าใส่แฟนบอลของยูเวนตุส ความสับสนอลหม่านก็เกิดขึ้น แฟนบอลยูเวนตุสพยายามหนี พวกเขาปีนขึ้นไปบนกำแพง และหลังจากนั้นแฟนบอล 39 คนเสียชีวิตจากการพลัดตกลงมา และกลายเป็นโศกนาฏกรรมเฮย์เซล ผลการแข่งขันลิเวอร์พูล พ่ายไป 0-1จากลูกจุดโทษของ มิเชล พลาตินี่ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักหลังโศกนาฏกรรมที่เฮย์เซล โจ เฟแกน ประกาศลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีม นี่ถือเป็นฝันร้ายในการสิ้นสุดอาชีพที่รุ่งเรืองกับทีมหงส์แดงเลยก็ว่าได้ เคนนี่ ดัลกลิช ขึ้นคุมทีมแทนในตำแหน่งผู้เล่นและผู้จัดการทีมควบคู่กัน ลิเวอร์พูลเริ่มต้นฤดูกาล 1985-86 ด้วยความโศกเศร้า เหตุการณ์ที่เฮย์เซลเมื่อสี่เดือนก่อนยังไม่จางไปจากแอนฟิลด์แต่นักเตะทุกคนยังทำผลงานในลีกได้ดีพาทีมหงส์แดงเอาชนะแชมป์เก่าอย่างเอฟเวอร์ตัน ครองแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 16 พร้อมทั้งคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกจากการเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอ คัพ ไป 3-1 แต่สโมสรก็ถูกยูฟ่าสั่งแบนจากการแข่งขันในเวทียุโรปปี1986-87 เอียน รัช อำลาทีมย้ายสู่สโมสรยูเวนตุสในอิตาลี สภาพของทีมดูย่ำแย่ลงนักเตะในทีมเริ่มมีแต่ดาวรุ่งตัวเก่าๆก็เริ่มที่จะโรยราลง ทำให้ทีมไม่สามารถรักษาแชมป์เอาไว้ได้ ปี1987-88 ดัลกลิช เปลี่ยนนักเตะแบบยกชุดด้วยการหันไปคว้านักเตะอย่าง จอห์น อัลดริดจ์,จอห์น บารนส์, ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์,เรย์ เฮาจ์ตัน มาสู่ทีมบวกกับนักเตะจากทีมสำรองที่ถูดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่อย่าง สตีฟ แม็คมาน ทำให้ทีมลงตัวจนสามารถคว้าแชมป์มาครองได้ในที่สุด หลังจบฤดูกาล เอียน รัช ย้ายกลับสู่แอนฟิลด์อีกครั้ง15 เมษายน 1989 เกมตัดเชือกเอฟเอคัพ กับ น็อตติ้งแฮมฟอเรสต์ ที่ฮิลส์โบโร่ สนามของ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ แฟนบอลลิเวอร์พูล 96คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์เบียดเสียดกันตายจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งที่สอง เหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโร่ห์มีผลกระทบต่อความรู้สึกของบรรดาเดอะ ค็อปมาก แต่สิ่งที่ได้รับจากกองเชียร์ นักเตะและสโมสร แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาทุกคนจึงรักสโมสรแห่งนี้ และแน่นอนแฟนบอลหงส์แดง 96 คนจะอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป ลิเวอร์พูลจบฤดูกาลด้วยแชมป์ลีกสมัยที่ 18 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้เคนนี่ ดัลกลิช ประกาศลาออกในปี 1991 ทำให้สโมสรเรียกตัว แกรม ซูเนสส์ กลับมาสู่ทีมในฐานะผู้จัดการทีมคนใหม่ ซูเนสส์ หันไปหานักเตะรุ่นใหม่ๆหมดไล่ตั้งแต่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์,สตีฟ แม็คมานามาน,เจมี่ เร็ดแนป์,ร็อบ โจนส์,เดวิด เจมส์ แต่น่าเสียดายที่ผลงานการคุมทีมไม่ดีอย่างที่หลายคนคาด คว้ามาได้เพียงแชมป์เอฟ เอคัพ ครั้งเดียวตลอดการคุมทีม 4 ปีสโมสรได้แต่งตั้ง รอย อีแวนส์ หนึ่งในสมาชิกของ "บูธรูม" อีกคน แต่ อีแวนส์ ก็ไม่สามารถพาลิเวอร์พูลกลับขึ้นมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ ผลงานที่สามารถคว้ามาได้มีเพียงแชมป์ลีก คัพ ในปี 1994-95 เพียงรายการเดียว ปี1998 สโมสรหันไปคว้าผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส เชราร์ อุลลิเย่ร์ มาคุมทีมร่วมกับ รอย อีแวนส์ และเพียงไม่นาน อีแวนส์ ก็ขอลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมร่วม ทำให้ เชราร์ อุลลิเย่ร์ รับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่แทนทันที และหมดยุคของ "บูธรูม" ทันทีอุลลิเย่ร์ เรียก ฟิล ธอมป์สัน อดีตนักเตะลิเวอร์พูลมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีม และใช้เวลาสร้างทีมใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเตะต่างชาติ ซามี่ ฮูเปีย ,แพทริก แบร์เกอร์,วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์,ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ และนักเตะจากทีมเยาวชน ซึ่งต่อมาถือเป็นกำลังหลักของทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด,เจมี่ คาร์ราเกอร์และ ไมเคิ่ล โอเว่น ทีมทำผลงานได้ดีในฟุตบอลถ้วย แต่ผลงานในลีกกลับไม่สามารถทวงความยิ่งใหญ่เหมือนในอดีตกลับมาสู่สโมสรได้ ปี 2000-01 อุลลิเย่ร์ พาทีมสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วย โดยคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ,ลีกคัพ เป็นสมัยที่6 มาสู่สโมสร พร้อมทั้งสร้างผลงานในเวทียุโรป ด้วยการคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ มาครองหลังห่างหายไปนานกว่า 21 ปี ปี 2003 กุนซือชาวฝรั่งเศสพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ สมัยที่7 ให้กับสโมสรด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ 2-0 จากประตูของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ สนามมิลเลเนี่ยม เมืองคาร์ดิฟฟ์ และนั่นคือผลงานสุดท้ายที่กุนซือชาวฝรั่งเศสทำให้ทีมเนื่องจาก เชราร์ อุลลิเย่ร์ ไม่สามรถทำทีมคว้าแชมป์ลีกได้ตามที่บอร์ดบริหารต้องการปี 2004 สโมสรได้แต่งตั้ง ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ผู้นำทีมบาเลนเซียคว้าแชมป์ลา ลีกา สเปน มาสู่ทีมและเพียงแค่ฤดูกาลแรกที่เจ้าตัวเข้ามาคุมทีม ราฟาก็ทำค่ำคืนที่เหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พูลได้ เมื่อพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ยุโรปมาครอบครองได้เป็นสมัยที่5ของสโมสร หลังจากที่ตามหลัง เอซี มิลาน อยู่ 3-0 ในช่วงจบครึ่งแรก แต่สามารถกลับมาตีเสมอได้ในช่วงครึ่งหลัง 3-3 ก่อนที่จะกลับมาเอาชนะไปได้ในช่วงของการดวลจุดโทษ กับฤดูกาลใหม่นี้ ราฟาเอล เบนิเตซ จัดการเสริมทีมด้วยการคว้าตัวนักเตะมาสู่ทีม ซาบี้ อลอนโซ่,หลุยส์ การ์เซีย,เฟร์นานโด มอริเอนเตส,เปเป้ เรน่า ซึ่งนักเตะส่วนใหญ่เป็นนักเตะสัญชาติสเปน เพื่อมาสร้างทีมและแน่นอนนั่นคือการเปิดตัวปีแรกของ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน ที่สวยหรูแต่เป้าหมายที่แท้จริงที่บรรดาเดอะ ค็อป จากทั่วโลกต่างเฝ้ารอก็คือการกลับมาผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก (ดิวิชั่น 1เดิม) ให้ได้หลังต้องรอคอยมานานถึง 16 ปีเต็ม

Steven Gerrard











Fernando Torres
















แดงเดือดปะทุ!ผีชนหงส์


แดงเดือดปะทุ!ผีชนหงส์

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กลับมาลงสนามกันอีกครั้ง สำหรับวันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2551 มีลงสนามทั้งหมด 2 คู่ และเป็น "บิ๊กแมตช์" ทั้งหมดอีกด้วย เริ่มตั้งแต่ "ศึกแดงเดือด" ครั้งที่ 150 ระหว่างแมนฯ ยูไนเต็ด - ลิเวอร์พูล
ปรีวิวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
(ฤดูกาล 2007/08)
(วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม 2551)
แมนฯ ยูไนเต็ด (1) - ลิเวอร์พูล (4)
เวลาเตะ :20.30 น.
ถ่ายทอดสด : ทรูสปอร์ต 1 (61), SS3/SSM, P2P, Setanta Sports Canada, Setanta Sports USA, Setanta-Broadband (ดาวเทียม)
สภาพอากาศ : ฝน / หิมะ
อุณหภูมิเฉลี่ย : 2 องศาเซลเซียส
ผู้ตัดสิน : สตีฟ เบนเน็ตต์
สนาม:โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
สภาพทีมโดยทั่วไป
แมนฯ ยูไนเต็ด
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด จะได้เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ นายทวารมือ 1 หายเจ็บโคนขาหนีบกลับมาเสริมทีมอีกครั้ง แต่ในรายของริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลังตัวหลักที่ยังมีอาการเจ็บหลังรบกวน ต้องรอทดสอบความฟิต
ส่วนหลุยส์ ซาฮา กองหน้าที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนเล็กน้อยมาจากเกมล่าสุดที่ชนะโบลตัน 2-0 แต่น่าจะฟิตพร้อมช่วยทีมได้ตามปกติ
สำหรับแกรี่ เนวิลล์ แบ๊กขวาตัวเก๋าที่หายไปเกือบปี จากอาการบาดเจ็บโคนขาหนีบ และ ข้อเท้า ก็ใกล้ที่จะกลับมาช่วยทีมได้ในเร็วๆนี้ หลังลงเรียกความฟิตในเกมสำรองได้อีกเกมแล้ว
ผู้เล่นที่มีอาการบาดเจ็บ
แมนฯ ยูไนเต็ด : ริโอ เฟอร์ดินานด์ (หลัง, ทดสอบความฟิต), มิกกาแอล ซิลแวสตร์ (เข่า)
ผู้เล่นที่ติดโทษแบน
แมนฯ ยูไนเต็ด : ไม่มี
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
แมนฯ ยูไนเต็ด (4-4-2) : เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ - จอห์น โอเช, เวส บราวน์, เนมานย่า วิดิช, ปาทริซ เอวร่า - คริสเตียโน่ โรนัลโด้, โอเว่น ฮาร์กรีฟส์, อันแดร์สัน, ไรอัน กิ๊กส์ - เวย์น รูนี่ย์, คาร์ลอส เตเวซ
ผู้จัดการทีม : เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ลิเวอร์พูล
ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือลิเวอร์พูล ไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บของลูกทีมคนสำคัญเพิ่มเติม โดยขาดเพียงดาเนียล อั๊กเกอร์ กองหลังเดนมาร์กที่เข้ารับการผ่าตัดกระดูกเท้าเป็นครั้งที่ 3 และจะกลับมาช่วยทีมได้อีกครั้งในฤดูกาลหน้า
ส่วนตำแหน่งปีกซ้าย คาดว่า "เอล ราฟา" อาจปรับทัพด้วยการให้ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ซึ่งมีประสบการณ์มากกว่าได้ลงเป็นตัวจริงแทนไรอัน บาเบลก็เป็นได้
ผู้เล่นที่มีอาการบาดเจ็บ
ลิเวอร์พูล : ดาเนียล อั๊กเกอร์ (กระดูกเท้า)
ผู้เล่นที่ติดโทษแบน
ลิเวอร์พูล : ไม่มี
รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม
ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : โฆเซ่ มานูเอล เรน่า - อัลบาโร่ อาร์เบลัว, เจมี่ คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เตล, ฟาบิโอ ออเรลิโอ - ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, ชาเบียร์ อลอนโซ่ - เดิร์ค เค้าท์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ (ไรอัน บาเบล) - เฟร์นานโด ตอร์เรส
ผู้จัดการทีม : ราฟาเอล เบนิเตซ
ผลงาน 5 นัดหลังสุด
แมนฯ ยูไนเต็ด
19/03/08 โบลตัน (เหย้า)
15/03/08 ชนะ ดาร์บี้ (เยือน) 1-0
08/03/08 แพ้ พอร์ทสมัธ (เหย้า) 0-1 (เอฟเอ คัพ)
04/03/08 ชนะ โอลิมปิก ลียง (เหย้า) 1-0 (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก)
01/03/08 ชนะ ฟูแล่ม (เยือน) 3-0
ลิเวอร์พูล
15/03/08 ชนะ เร้ดดิ้ง (เหย้า) 2-1
11/03/08 ชนะ อินเตอร์ มิลาน (เยือน) 1-0 (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก)
08/03/08 ชนะ นิวคาสเซิ่ล (เหย้า) 3-0
05/03/08 ชนะ เวสต์แฮม (เหย้า) 4-0
02/03/08 ชนะ โบลตัน (เยือน) 3-1
เฮด ทู เฮด
พบกันทั้งหมดในลีก แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 57 ลิเวอร์พูล ชนะ 49 เสมอ 43
พบกันทั้งหมดในพรีเมียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 17 ลิเวอร์พูล ชนะ 7 เสมอ 7
พบกันทั้งหมดในลีกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 35 ลิเวอร์พูล ชนะ 14 เสมอ 25
พบกันทั้งหมดในพรีเมียร์ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 8 ลิเวอร์พูล ชนะ 3 เสมอ 4
สถิติที่พบกัน
แมนฯ ยูไนเต็ด หวังเอาชนะ ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 5 ติดต่อกันในพรีเมียร์
ลิเวอร์พูล ยิงประตู แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เลยในเกมลีก 6 นัดหลังสุด และยิงได้แค่ลูกเดียวในยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ คือเกมที่แพ้ 1-2 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อ 20 ก.ย. 2004 จากการทำเข้าประตูตัวเองของ จอห์น โอเช
ข้อมูลที่น่าสนใจ
แมนฯ ยูไนเต็ด
แพ้ พอร์ทสมัธ 0-1 ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 6 เพียงนัดเดียวใน 8 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ
ชนะ 8 จาก 10 เกมลีกหลังสุด รวมทั้ง 4 นัดล่าสุดด้วย
ชนะมากนัดสุดในลีก (22)
ยิงประตูมากสุดในลีก 61 ประตูหรือยิงประตูเฉลี่ยทุกๆ 44 นาที
เสียประตูน้อยสุดในลีก 15 ประตูหรือเสียประตูเฉลี่ยทุกๆ 180 นาที
เป็นทีมที่เสมอน้อยนัดสุดในลีกเท่ากับ เรดดิ้ง (4)
ไม่เสียประตูในเกมลีกมากนัดสุดในลีก (18ป ดีกว่าซีซั่นก่อนไปแล้ว 2 นัด
ชนะ 21 เสมอ 2 แพ้ 1 ใน 24 เกมลีกที่ยิงประตูขึ้นนำไปก่อน
ถูกยิงประตูขึ้นนำไปก่อนเพียง 5 นัดน้อยกว่าทุกทีมในลีก
รั้งอันดับ 2 ในตารางคะแนน 6 เกมลีกหลังสุดเป็นรอง ลิเวอร์พูล ที่เก็บได้ 16 คะแนนเท่ากันแค่ผลต่างประตูได้เสีย
ยิง 15 ประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้าย หรือ 10 ประตูในช่วง 5 นาทีสุดท้าย หรือ 7 ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บดีกว่าทุกทีมในลีกยกเว้นการยิงประตูในช่วงทดเจ็บที่มี อาร์เซน่อล กับเรดดิ้ง ยิงได้ในจำนวนเท่ากัน
แพ้เพียง 2 จาก 31 เกมลีกในบ้านหลังสุด
เกมลีกนัดต่อไปจะเปิดบ้านพบ แอสตัน วิลล่า ก่อนจะออกไปเยือน โรม่า ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ และไปเล่นที่ มิดเดิ้ลสโบรช์
ลิเวอร์พูล
ชนะรวด 7 นัดติดต่อกันในทุกรายการ ตั้งแต่ถูก บาร์นสลี่ย์ เขี่ยตกรอบ 5 เอฟเอ คัพ เมื่อ 16 ก.พ. ซึ่งเป็นการแพ้นัดเดียว ใน 10 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ
ชนะ 6 เสมอ 1 ใน 7 เกมลีกหลังสุดตั้งแต่แพ้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 0-1 เมื่อ 30 ม.ค. ซึ่งเป็นการแพ้นัดเดียวในรอบ 14 เกม
แพ้น้อยเกมสุดอันดับ 2 ในลีกเท่ากับ เชลซี (3)
เสมอเกมลีกมากนัดสุดเท่ากับ ฟูแล่ม (11)
เสมอเกมลีกแบบโนสกอร์มากนัดสุดของลีกเท่ากับ พอร์ทสมัธ (5)
เสียประตูน้อยสุดอันดับ 2 ของลีก คือ 21 ประตูจาก 30 นัดหรือเสียประตูเฉลี่ยทุกๆ 129 นาที
ถูกยิงประตูขึ้นนำไปก่อนน้อยนัดสุดอันดับ 2 ของลีก (7)
เป็นหนึ่งใน 2 ทีมร่วมกับ โบลตัน ที่ยังไม่มีผู้เล่นถูกไล่ออกในฤดูกาลนี้
มีผู้เล่นถูกกรรมการจดชื่อน้อยสุดอันดับ 2 ของลีกคือ 37 ใบเหลือง
ชนะ 111 แพ้ 111 ในเกมนัดเยือนในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก และขาดอีก 2 ประตูจะยิงครบ 400 ลูกในการเล่นนัดเยือน
ชนะเพียงนัดเดียวจาก 5 เกมนอกบ้านหลังสุดคือเกมที่ชนะ โบลตัน 3-1 เมื่อ 2 มี.ค.
ไม่แพ้เกมลีกนัดเยือนต่อทีมจากแถบตะวันตกเฉียงเหนือมา 6 นัดติดต่อกัน ตั้งแต่แพ้ แบล็คเบิร์น 0-1 เมื่อ 26 ธ.ค. 2006
เกมลีกนัดต่อไปจะเปิดบ้านพบ เอฟเวอร์ตัน ก่อนจะออกไปเยือน อาร์เซน่อล 2 นัดรวดทั้งในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบก่อน รองชนะเลิศ และเกมลีก ก่อนจะกลับมารอรับมือ เดอะ กันเนอร์ส ในเกมยุโรปถ้วยใบใหญ่สุด นัดที่สอง
เกร็ดผู้เล่น
แมนฯ ยูไนเต็ด
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นผู้เล่นปีกที่ยิงประตูได้มากสุดในประวัติศาสตร์สโมสร (33) และยิงไปแล้ว 24 ประตูจากการลงเล่นเกมลีก 24 นัดนำเป็นดาวซัลโวสูงสุดในเวลานี้
เวย์น รูนี่ย์ ต้องการอีก 1 ประตูก็จะทำสกอร์ที่ 50 ในเกมลีกในชุด แมนฯ ยูไนเต็ด และจะลงเล่นเกมลีกเป็นนัดที่ 150 ในชีวิต
หาก แกรี่ เนวิลล์ ได้ลงสนามจะเป้นการลงเล่นเกมลีกนัดที่ 350 ให้ แมนฯ ยูไนเต็ด
ลิเวอร์พูล
เฟร์นานโด ตอร์เรส พังประตูมากสุดของทีมคือ 27 ประตูและเป็น 20 ลูกในเกมลีก
ตอร์เรส เป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลคนที่ 2 และหนที่ 3 ที่ยิงประตูในเกมพรีเมียร์ลีกถึงหลัก 20 ลูก ต่อจากทื่ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ทำไว้ 25 และ 28 ประตูในฤดูกาล 1994/95 และ 1995/96
โฆเซ่ เรน่า ทำเป็นอันดับ 1 ที่จะคว้ารางวัลถุงมือทองคำ หลังมีสถิติไม่เสียประตู 14 นัดในซีซั่นนี้