วันจันทร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551

In the End.....



เกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กับชัยชนะเหนือ ลิเวอร์พูล มันเหมือนเป็นอะไรที่สะใจแบบสุดๆ 3-0 สำหรับแฟนผี เฉกเช่นกับความไม่ปราณีของสิงห์บลูส์ที่ เดอะ บริดจ์ ซึ่ง เชลซี แสดงให้เห็นถึงทีมที่ดีกว่าหลังพลิกแซงเอาชนะคู่แข่งร่วมลอนดอนอย่าง "อ้ายปืนโต"
ก่อนเกมหวังว่าเกมวีกนี้มันส์คงจะมันส์พิลึกหาก ลิเวอร์พูล สามารถบุกไปยันเจ๊าหรือเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด ได้ และให้อาร์เซน่อลบุกมาชนะเชลซี ซึ่งตอนนั้น ทีมของ อาร์แซน เวน เกอร์ ก็จะไล่จี้เหลือแค่ 3 คะแนน
แต่ดูเหมือนว่า "ฝันก็ยังคงเป็นแค่ฝัน" สถิติยังคงเป็นสถิติ ผลคือ "ผีแดงไล่แทงหงส์ยับ" และ "ปืนแค่เสียว ก่อนเลี้ยววูบมรณะ" กลายเป็น เชลซี ที่ขึ้นไปนั่งรองจ่าฝูงแทน และ ไล่จี้ "ผีแดง" เหลือแค่ 5 คะแนน ขณะที่ อาร์เซน่อล ต้องร่วงมาเป็นอันดับสามเป็นครั้งแรกนับแต่เปิดฤดูกาลนี้มา
งง ! งง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น !! งง กับเด็กของ อาร์แซน เวนเกอร์ ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้พวกเขาไม่ชนะใครในพรีเมียร์ชิพ 5 นัดติดต่อกันแล้ว ซึ่งแม้ในทางทฤษฎีมันยังพอมี โอกาสที่พวกเขาจะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์
กับ 7 เกมที่เหลือ ทุกอย่างๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ความเป็นจริงแล้วยากเหลือเกินที่ แมนฯยูไนเต็ด จะปล่อยแชมป์สมัยที่ 10 หลุดลอยไป
สถานการณ์ในตอนนี้ อาร์เซน่อล คงต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วล่ะ ว่าจะสู้ต่อไป หรือจะไปลุ้น แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พวกเขายังไม่เคยสัมพัส ในขณะที่ เชลซี และ แมนฯยูไนเต็ด พวกเขาก็มีลุ้น "ดับเบิ้ลแชมป์" ในปีนี้เช่นกัน เช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล แม้จะหมดลุ้นชูถ้วยพรีเมียร์ชิพเป็นครั้งแล้ว แต่ลูกทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ ก็ยังอยู่ในเส้นทางคว้าแชมป์ ถ้วยบิ๊กเอียร์สมัยที่ 6
ย้อนกลับไปในศึก "แกรนด์สแลม บิ๊กแมตช์" ก่อนเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด "แดงเดือด" หนนี้หลากหลายกระแสเริ่มโอนเอียงไปทาง ลิเวอร์พูล หลังเริ่มโชว์ฟอร์มเข้าตา ซึ่งสปอร์ต ไลต์ของวันนี้จับภาพไปที่ เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ในซีซั่นนี้รวมทุกรายการกระหน่ำประตูคู่แข่งไปถึง 27 ประตู
ส่วน คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ ดาวซัลโวตัวเก่งของเจ้าถิ่นก็ยังเป็นที่จับตามองว่า "แดงเดือดครั้งที่ 11" ของปีกโปรตุกีสรายนี้จะยิงประตูแรกใน "Red War" ได้หรือไม่ ?
โดยในฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นฟอร์มที่พีคสุดยอดของ โรนัลโด้ หลังซัดนำเป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวน 24 ประตู (ก่อนแข่ง) และรวมทุกรายการ ไม่น่าเชื่อ!! ว่าเจ้าของหมาย เลข 7 รายนี้ทำลายสถิติในหนึ่งฤดูกาลของ จอร์จ เบสต์ ตำนานของปีศาจแดง ด้วยประตูรวมทั้งสิ้น 33 ประตู
อีกทั้งใน เกมแดงเดือด ของทั้งสองทีมไม่รู้เป็นไร หาก ยูไนเต็ด ได้ประตูทีไรมักจะเป็นกองหลังหรือแนวรับเสียมากกว่าที่เป็นผู้ทำประตู ซึ่งในครั้งนี้ บุคคลที่ไม่สมควรทำประตูก็ ดันทำประตู จากจังหวะที่ โฆเซ่ เรน่า ออกมาตัดบอลพลาด เวส บราวน์ มนุษย์สังหารหมายเลข 6 โฉบขึ้นโหม่งเข้าไปชนิดเหล่ากองเชียร์หลังประตูแถมจะอึ้งก่อนจะโห่ฮา เป่าปากดีใจ
หลังจากนั้นจุดเปลี่ยนอีกหนึ่งสำคัญของเกมก็คือการโดนไล่ออกของ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ ในช่วงครึ่งเวลาแรก หลังสตีฟ เบนเน็ตต์ สิงห์เชิ้ตดำในแมตช์นี้ชูใบเหลืองใบที่สองกลาย เป็น ใบแดง ในข้อหาด่าทอ ใช้คำหยาบคาย หรือแสดงประพฤติกรรมไม่ยอมรับคำตัดสิน ทำให้ห้องเครื่องอาร์เจนไตน์ต้องออกไปอาบน้ำก่อนใคร
จริงอยู่ไม่อาจจะไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่สำคัญมากมายนัก เพราะในช่วงครึ่งเวลาหลัง "เอล ราฟา" ก็ยังคงใช้ 10 ผู้เล่นที่เหลือเช่นเดิม แต่รูปเกมพวกเขาก็ยังหาจังหวะเข้าไปส่องใน กรอบแทบจะไม่มี กลับกลายเป็นเหล่าฝูงอสูรที่ดาหน้าบุกเข้ามาชนิดไม่หยุดพักให้หายใจ
และในช่วง 11 นาทีสุดท้าย คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ ก็พังประตูแรกในเกมแดงเดือดได้สำเร็จ จากการวิ่งเข้าโฉบโหม่งบอลซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม เป็นประตูที่ 25 นำเป็นดาวซัลโว ของพรีเมียร์ชิพและดาวซัลโวของยุโรป
ซึ่งเพียงแค่ 0-2 ก็น่าจะเป็นความพ่ายแพ้ที่ไม่น่าจดใจแล้ว ยังมาเสียประตูที่ 3 จากการยิงของ นานี่ ดาวยิงสำรองที่เพิ่งเปลี่ยนลงมา จบเกมที่ "โอ.ที" แมนฯยูไนเต็ด เอาชนะคู่อริ ลิ เวอร์พูล 3-0 ซึ่งเป็นสกอร์ที่ขาดลอยครั้งที่ 2 ในรอบกว่า 15 ปี
มาถึงในคู่ที่สองช่วง 5 ทุ่ม ตามเวลาในเมืองไทย อาร์เซน่อล หลังเพิ่งจะรู้ผลคู่แดงเดือดไป แน่นอนว่าพวกเขาต้องเพิ่มความมุ่งมั่นและความกระหายมากขึ้นกว่าเดิม เพราะในขณะ นั้นลูกทีมของ เวนเกอร์ ตามหลัง "ผีแดง" ถึง 6 แต้ม
ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งเกมอะไรหลายๆ อย่างเริ่มจะเป็นใจให้กับขุนแข้งปืนโต การตามเข้าชาร์จระยะกว่า 5 หลาของ โซลามง กาลู ที่วืด การยิงของมิชาเอล บัลลัค แถมจะไม่ได้สร้าง ความหวาดหวั่นให้ อาร์เซน่อล เท่าไหร่
และในที่สุด บาการี่ ซานญ่า ฟลูแบ็กชาวฝรั่งเศสก็เบิกสกอร์แรกของตัวเองในพรีเมียร์ และช่วยให้ อาร์เซน่อล ขึ้นนำ เชลซี ไปก่อน 1-0 เกมทำท่าว่า โมเมนตั้ม จะไหลมาทางอาร์เซ น่อล เพราะถึงตอนนั้นพวกเขาความฝันในการคว้าบรรลังค์แชมป์พรีเมียร์ยังคงอยู่
แต่เพียงแค่ 13 นาทีให้หลังจากนั้น ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา ดาวยิงตัวเก่งก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นสุดยอดดาวยิงที่เก่งกาจที่สุดอีกครั้ง เมื่อรับบอลจากลูกดีดของ แลมพาร์ด ก่อนจะ ตะบันด้วยขวาเต็มข้อบอลพุ่งผ่านมือ อัลมูเนีย เข้าไปอย่างงดงาม
ถึงตอนนี้ช่วง 18 นาทีที่เหลือ เป็นอะไรที่บีบเค้นกดดันสำหรับทั้งสองทีมเสียเหลือเกิน เพราะทุกอย่างอาจเป็นไปได้ ทว่าสุดท้ายพระเจ้ากลับเลือกให้ฝากเจ้าถิ่นได้รับสามคะแนนเต็ม เมื่อบอลมาเข้าทางของ หัวหอกไอวอรี่ โคสต์ อีกครั้งก่อนที่ตัวเขาจะซัดเบิ้ลเป็นประตูชัยให้ สิงห์บลูส์ พลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ 2-1
กลับกลายเป็นว่า อาร์เซน่อล ที่นำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ชิพมาร่วม 7 เดือนกว่า กลับโยนมันทิ้งไปเพียงแค่ 5 เกมอาจสุดห่วยของพวกเขา แถมถีบคู่อริร่วมเมืองลอนดอน เชลซี ขึ้นไป นั่งรองจ่าฝูง
ซึ่งถึงตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด อาจจะกาอาร์เซน่อลออกจากสารบบลุ้นแชมป์แล้ว แต่กลับเป็นว่าทีมอย่าง เชลซี ที่แรกๆ หลายคนอาจมองว่าซีซั่นนี้ของพวกเขาอาจจะจบลง แต่ไหน เลยที่ผ่านมาพวกเขา กลับกลายคล้ายเป็น "ตาอยู่" ที่ค่อยๆ เขยิบเข้ามา ซึ่งต้องลุ้นช่วง 7 เกมที่เหลือแบบนัดต่อนัดว่าทีมใดจะเข้าป้ายคว้าแชมป์

ไม่มีความคิดเห็น: