วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

เปิดใจ ไรอัน บาเบล "เพชรที่กำลังถูกเจียระไน"



หลังจากใช้เวลาปรับตัวกับเกมลูกหนังอังกฤษมาระยะหนึ่ง ไรอัน บาเบล ดาวเตะตัวรุกสายเลือดดัตช์วัย 21 ปี เริ่มฉายแววการเล่นที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ออกมา โดยเฉพาะการรับบทบาทปีกซ้ายที่ทำให้เกมบุกของขุนพล "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล มีความหลากหลายมากขึ้น
ในตอนนี้ทำได้แต่รอเวลาให้ ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปนค่อยๆเจียระไนบาเบล อย่างประณีตเพื่อให้ออกมาเป็นเพชรเม็ดงามประดับวงการลูกหนังโลกอย่างที่หลายคนคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่เขาประเดิมสนามระดับอาชีพครั้งแรกกับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม เมื่อ 4 ปีก่อน....
ตอนนี้คุณปรับตัวเข้ากับชีวิตที่ลิเวอร์พูลได้สมบูรณ์รึยัง ?
บาเบล : "เป็นธรรมดาที่ผมจะต้องคิดถึงครอบครัว,เพื่อนๆ และอัมสเตอร์ดัมบ้านเกิดของผม แต่ผมก็ไม่ได้มีอาการโฮมซิคขนาดหนักเหมือนนักเตะต่างชาติคนอื่นๆ หรอกนะ ชีวิตใหม่ของผมเต็มไปด้วยสิ่งที่ยอดเยี่ยม,ความตื่นเต้น และแรงจูงใจมากมาย นับตั้งแต่ผมกับแฟน,พ่อแม่ และเอเย่นต์ส่วนตัว เดินทางมาถึงสนามบินจอห์น เลนน่อน (เมื่อเดือนก.ค.ปีที่ผ่านมา) แล้วเห็นคนขับรถยืนถือป้ายที่มีชื่อของผมเขียนอยู่ก็สร้างความรู้สึกพิเศษให้ผมมาก และหลังจากได้คุยกับราฟาเอล เบนิเตซ ที่สนามซ้อมของสโมสรมันก็ยืนยันได้ทันทีว่าผมตัดสินใจถูกต้องแล้ว"
ผู้จัดการทีมเบนิเตซ พูดอะไรกับคุณบ้าง ?
บาเบล : "เขาบอกว่าที่เซ็นสัญญากับผมก็เพราะอยากมีผู้เล่นที่สามารถพาบอลผ่านคู่แข่งด้วยทักษะเฉพาะตัวอยู่ในทีมมากขึ้น และพร้อมให้เวลาผมอย่างเต็มที่เพื่อปรับตัวให้คุ้นเคยกับระดับการเล่นของพรีเมียร์ชิพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับผม และถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตการเล่นของผม แม้ว่าสถานะของการเป็นนักเตะดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์จะทำให้ต้องเผชิญความคาดหวังที่มากพอสมควร แต่ลิเวอร์พูลมองว่าผมเป็นเพชรหยาบที่รอถูกเจียระไนให้ออกมาสวยงาม"
ดูเหมือนทุกอย่างจะเกิดขึ้นเป็นขั้นเป็นตอนโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรเลย ?
บาเบล : "ผมพยายามทำใจให้สงบนิ่ง หลายคนคิดว่าผมเป็นคนเข้มแข็ง และไม่มีอะไรรบกวนจิตใจของผมได้ แต่ความจริงมันตรงกันข้ามกันเลย หลังจากมาร์โก ฟาน บาสเท่น เลือกผมอยู่ในทีมชุดเวิลด์ คัพ 2006 บางคนถามผมว่าแอบกระโดดดีใจรึเปล่า? มันไม่ได้เป็นอย่างนั่นเลย ในใจของผมรู้สึกมีความสุขมาก แต่คุณคงไม่มีทางเห็น"
รู้สึกแปลกใจบ้างไหมที่การย้ายทีมเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ?
บาเบล : "ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องย้ายออกจากอาแจ็กซ์เพื่อให้การเล่นของตัวเองพัฒนาสู่อีกขั้นหนึ่ง 2 ปีก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลเคยแสดงความสนใจผมมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั่นผมรู้สึกไม่ดีเท่าไร ผมไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับพวกเขา ชื่อของสโมสรไม่ทำให้ผมรู้สึกถึงแรงจูงใจอะไรเลย ทั้งหมดมาจากความไร้เดียงสาเกินปกติของผมเอง"
"จนกระทั่งหน้าร้อนปีที่แล้วสถานการณ์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพราะลิเวอร์พูลเพิ่งจะเข้าถึงรอบชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 ปี เอเย่นต์ของผมบอกว่าพวกเขาเพิ่งซื้อเฟร์นานโด ตอร์เรส ไปร่วมทีม มันเลยยิ่งสร้างความสนใจให้ผมมากขึ้น ลินด์ซี่ย์ (คนรัก) ก็มีส่วนอย่างมากเราคุยกันอย่างจริงจังเป็นอาทิตย์ เราสองคนยังอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของตัวเอง แต่ก็คุยๆเรื่องการย้ายมาอยู่ด้วยกันไว้บ้างแล้ว การย้ายทีมที่เกิดขึ้นถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงสำคัญในความสัมพันธ์ของเรา และท้ายที่สุดเราก็ตัดสินใจตอบรับ"
"นอกเหนือจากนี้เบนิเตซ ยังบอกให้ผมโทรไปคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อบอกการตัดสินใจ เอเย่นต์ของผมให้เบอร์มา และหลังจากพยายามโทรอยู่ 4 ครั้งผมก็ได้คุยกับเขา เราพูดคุยกันอย่างเปิดอก เบนิเตซ เป็นคนที่ตรงไปตรงมา และบอกผมเกี่ยวกับระบบหมุนเวียนนักเตะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการพูดคุยคือผมรู้สึกได้ว่าเขารู้จักผมในฐานะผู้เล่นเป็นอย่างดี เขาต้องศึกษาข้อมูลของผมมาอย่างละเอียดจริงๆ"
ครอบครัวของคุณมีความสำคัญมากแค่ไหน ?
บาเบล : "สำหรับผมความเห็นของพ่อ,แม่ และเอเย่นต์มีความสำคัญมาก ตั้งแต่อายุ 14 ปีที่ผมได้เจอกับวินนี่ (ฮาเทรชท์,เอเย่นต์) เป็นครั้งแรก เราได้วางแผนร่วมกันว่าเป้าหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จคืออะไร ทุกๆ 2 เดือนเราจะนัดพบกัน และเขียนเป้าหมายใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามา คุณต้องได้เห็นถึงจะเข้าใจสำหรับสัญญาขั้นพื้นฐานที่ผมต้องทำให้สำเร็จ ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของพ่อแม่ผมหมดเลย"
คงมีนักเตะดาวรุ่งเพียงไม่กี่คนที่มีความมุ่งมั่นแบบนี้จริงไหม ?
บาเบล : "หลังจากเกมแรกของผมกับอาแจ็กซ์ ทุกคนในครอบครัวเริ่มเห็นว่าผมต้องรับมือปัญหามากมาย ช่วงเวลานั่นผมออกไปฝึกซ้อม และกลับมาสนุกกับเพื่อนๆ ในตอนเย็น ผมไม่สนใจความเหนื่อยล้าของร่างกาย และออกไปเที่ยวในเมืองเกือบทุกวัน แต่พอผ่านไปได้ 2-3 เดือนผมก็เริ่มรู้ว่าบางครั้งตัวเองไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะทุ่มเทให้การฝึกซ้อม และแข่งขัน ทำให้ฟอร์มการเล่นของผมไม่สม่ำเสมอ พ่อแม่ของผม และวินนี่ พูดตรงกันว่าผมควรจะเข้านอนเร็วขึ้นเพื่อให้มีเวลาพักผ่อนมากๆ และรู้จักควบคุมการทานอาหาร กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ ไม่ใช่นั่งกินขนมปังเป็นแถวๆ"
"หลังจากกินอาหารเย็นมื้อใหญ่ไปแล้ว ถึงบางครั้งผมจะคิดว่าทำไมตัวเองต้องมาทนเรื่องไร้สาระพวกนี้ก็ตาม พ่อของผมเป็นคนที่ให้คำวิจารณ์ได้ตรงเป้ามากที่สุด อย่างเราคุยกัน 10 เรื่องมีดีอยู่ 8 เรื่อง เขาก็จะไปให้ความจริงจังกับอีก 2 เรื่องที่ไม่ถูกต้อง หลายปีที่ผ่านมาบ่อยครั้งที่เราโต้เถียงกันอย่างดุเดือดแต่ทั้งหมดก็เพื่ออาชีพการเล่นของผม ผมสนุกกับฤดูกาลที่แล้ว (กับอาแจ็กซ์) อย่างมาก ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณการทำงานพิเศษนอกสนาม และการรู้จักใช้ชีวิตให้เรียบง่าย"
และคุณยังคงรักษาระดับความมุ่งมั่นแบบนี้เอาไว้ในการเล่นกับลิเวอร์พูล ?
บาเบล : "ใช่แล้ว ผมเรียนรู้มากมายจากที่นี่ และเป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นว่ารายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ช่วยสร้างความแตกต่าง หลังจากจบการแข่งขันเราต้องไปยืนแช่ในอ่างน้ำแข็ง 5 นาที อาการตะคริว และความรู้สึกเสียวแถวหน้าอกจะแพร่ซ่านออกมา แต่มันให้ผลดีกับอาการฉีกขาดเล็กน้อยของกล้ามเนื้อ น้ำเย็นจะช่วยลดความเสียหายได้ทันที ระหว่างปรี-ซีซั่น ผมต้องทนแช่น้ำเย็นทุกครั้งหลังการซ้อม"
"มันหนาวสะท้านไปทั้งตัว ช่วงแรกๆ ผมก็ทนได้แค่ครึ่งนาที และบางครั้งก็แอบโกงด้วยการไปยืนแช่น้ำโดยใส่ชุดวอร์มพร้อมถุงเท้า มันทำให้ผมรู้สึกขยาดตั้งแต่ยังซ้อมไม่เสร็จ แต่ตอนนี้ผมก็ชินแล้ว และเป็นผลดีกับผมที่ต้องอาศัยความยืดหยุ่นของร่างกายในการเล่นค่อนข้างสูง พอทำแบบนี้วันรุ่งขึ้นร่างกายผมไม่เหลือความเหนื่อยล้าอยู่เลย"
คุณพอใจกับพัฒนาการของตัวเองที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้หรือไม่ ?
บาเบล : "ผมก็พอใจระดับหนึ่ง แน่นอนว่าผมอยากลงเล่นมากกว่านี้ และนั่นก็เป็นเรื่องปกติ บางครั้งผมก็ผิดหวังมาก แต่เบนิเตซ มีเหตุผลของเขา และเลือกที่จะหมุนเวียนผู้เล่นอยู่ตลอด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรู้มาก่อน และเป็นคนยอมรับมันเอง เราจะรู้ว่าใครได้ลงเล่นเพียงแค่ 1 ชั่วโมงก่อนเกม ในการฝึกซ้อมคุณไม่มีทางเดาได้เลยว่านักเตะคนไหนจะเป็นตัวจริงในเกมต่อไป"
"ตอนนี้ผมก็เริ่มคุ้นเคยมากขึ้นถึงจะมีคนมากมายรู้สึกแปลกกับวิธีการนี้ แต่เบนิเตซ เป็นโค้ชที่เก่ง และเป็นคนที่น่านับถือ มันเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมผมไม่ได้ลงเล่นเต็ม 90 นาที สภาพร่างกายของผมยังไม่แข็งแกร่งถึงระดับที่จะลงเล่นในเกมที่มีจังหวะเร็วอย่างบ้าคลั่งของพรีเมียร์ลีกตลอด 90 นาที แม้ว่าจะเจอสโมสรเล็กๆ สำหรับผมก็ยังลำบากอยู่ ดี"
จ้ำ

ไม่มีความคิดเห็น: